คัด 5 หุ้น SET50 โบรกชี้ไตรมาส 4 โตเด่น! อัพไซด์สูง – นลท.ต่างชาติหมายปอง

เปิดโผ 5 หุ้นบิ๊กแคปSET50 โบรกชี้ไตรมาส 4/64 โตโดดเด่น หลังธุรกิจฟื้นตัวชัดเจน พ่วงมีอัพไซด์สูง ซึ่งอาจเป็นทางเลือกของนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายสามารถเดินหน้าเศรษฐกิจ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทย หากมีการคลายล็อกดาวน์ทุกภาคส่วนได้อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง รวมทั้งมีการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อลดเหลือน้อยลงหรือไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเลย และการฉีดวัคซีนเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลกำหนดไว้

ทั้งนี้เริ่มมีสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธินับหลังจากทางศบค.ประกาศนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2564 เริ่มคลอยล็อกดาวน์ในบางธุรกิจในพื้นที่สีแดงเข้มสามารถกลับมาดำเนินงานได้แม้ว่าจะไม่เต็ม 100% แต่ก็เป็นสัญญาณบวกว่ามีโอกาสเห็นการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจไทย ผลดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นมากขึ้น จึงเห็นนักลงทุนต่างชาติเริ่มเข้ามาซื้อสุทธิจากวันที่ 1-14 ก.ย. 2564 ซื้อสุทธิไปจำนวน 8,775.23 ล้านบาท

สอดคล่องกับในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา หลังจากที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 คลี่คลายลง ทางศบค.ก็มีมติเห็นชอบประกาศคลายล็อกดาวน์โดยอนุญาตให้กิการ และกิจกรรมความเสี่ยงต่ำแล้วค่อยๆคลายไปถึงความเสี่ยงสูงได้กลับมาเปิดกิจการหรือให้บริการได้แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย จากนั้นเริ่มเห็นการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติจนทำให้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิ 13,288.20 ล้านบาท

ดังนั้นเชื่อว่าหากในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 หากการคลายล็อกดาวน์ครบทุกกิจการ และกิจกรรมความเสี่ยงสูงก็อาจทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นแล้วอาจเห็นเงินไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติเช่นเดียวกับช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 ที่เข้ามาซื้อสุทธิ

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาได้อีกครั้งในไตรมาส 4 จากการฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้น เพื่อฟื้นการบริโภค และท่องเที่ยวในประเทศ ภาคการส่งออกที่ไม่ได้รับผลกระทบจาการขาดแรงงานฟื้นตัวได้ และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จะทำให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันได้

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองว่ามีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทยในไตรมาส 4 แต่ต้องมีการคลายล็อกดาวน์การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนวัคซีนแม้จะไม่ใช้เป้าหมายหลัก เพราะป้องกันไม่ได้ทั้งหมด แต่ต้องเร่งฉีดให้ได้ตามแผน 10 ล้านรายต่อเดือน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำเป็นต้องทำเชิงรุก รวดเร็ว และใช้เม็ดเงินที่สูง

ทั้งนี้มีการคาดว่านักลงทุนต่างชาติอาจเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย คลายล็อกทุกกิจการ และกิจกรรม ซึ่งคาดหวังเห็นเศรษฐกิจฟื้น

สำหรับเงินไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติคงหนีไม่พ้นหุ้นขนาดใหญ่ในตลาด SET50 ทั้งนี้จึงมีการคัดสรรหุ้นที่ทางนักวิเคราะห์ประเมินว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2564 จะเติบโตโดดเด่น หลังจากธุรกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับราคาหุ้นยังมีอัพไซด์เมื่อเทียบจากราคาเป้าหมายที่ทางนักวิเคราะห์แนะนำไว้ ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติได้

โดยจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่ามีหุ้น BDMS, BJC, COM7, GLOBAL และ TU เป็นต้น

บล.กรุศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ทางกำไรในไตรมาส 4 ปี 2564 จะยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ปี 2564 คาดรายได้จากการให้บริการโควิดจะเพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้ติดเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น หรือรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงจะเพิ่มขึ้นหากการระบาดถูกควบคุมได้ โดย BDMS จะรับผู้ป่วยต่างชาติผ่านโครงการ ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ เนื่องจากมีโรงพยาบาลอยู่ที่ภูเก็ต

อย่างไรก็ตามเนื่องจากกำไรในครึ่งปีแรกต่ำกว่าคาด ทำให้ปรับคาดการณ์กำไรลง 13% ในช่วงปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท ขณะที่ในปี 2565 กำไรสุทธิอยู่ที่ 8.1 พันล้านบาท และในปี 2566 กำไรสุทธิอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท พร้อมกับครึ่งปีแรกทาง BDMS ใช้งบลงทุนต่ำเพียง 1.8 พันล้านบาท และไม่มีแผนใช้งบลงทุนจำนวนมาก จึงปรับประมาณการเงินลงทุนลง 25% เป็น 5 พันล้านบาท

ดังนั้นยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเป็นกลางปี 2565 และคงราคาเป้าหมายที่ 26.00 บาท และเมื่อมาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 14 ก.ย. 2564 อยู่ที่ระดับ 22.30 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 16.59%

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ทางผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2564 จะกลับมาฟื้นตัวได้จากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นของบิ๊กซีเพิ่มขึ้นจากการปรับทีม Operation ทำให้บริหาร Product mix ได้ดีขึ้น และทยอยเพิ่มสินค้าและรีแบรนด์สินค้า Private label ให้อัตรากำไรสูงขึ้น ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งกลุ่มเวชภัณฑ์ยังมีสัญญาณการเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มดีต่อในครึ่งหลังของปี 2564 จากความต้องการขวดแก้วบรรจุอาหารและ เครื่องดื่มหลังจากอเมริกาและยุโรปกลับมาเปิดเมือง ขณะที่กลุ่มสินค้าในประเทศ เช่น เครื่องดื่มวิตามินซีแอลกอฮอล์และโสม ยังขยายตัวดีอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าอยู่ใน เกณฑ์ดีจาก Economies of scale กลุ่มสินค้าเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ จะได้ ผลบวกจากการขาย Antigen Test Kit

ดังนั้นยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเป็นปี 2565 ที่ 42.00 บาท และเมื่อมาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 14 ก.ย. 2564 อยู่ที่ระดับ 34.00 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 23.53%

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 โดยมองยอดขาย และกำไรจะฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 มาจากมาตรการผ่อนคลายเปิดห้างใน ก.ย.ที่ผ่านมา และสินค้าใหม่ทยอยเปิดตัว ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะกำลังซื้อตลาดกลาง-บนยังแข็งแรง และรอบการเปลี่ยนมือถือกำลังเกิดหลังโควิด-19 ระบาดเกือบ 2 ปีโดยจากสถิติราคาขาย 5G มากกว่า 4G ถึง 13% และธุรกิจ PC &NB อุปสงค์ยังดีจากกลุ่ม Gaming,Streaming,Cryptocurrency ที่มีความต้องการยาวไปถึงปีหน้า

ขณะเดียวกัน COM7 จะกลับมาแกร่งยิ่งขึ้นกว่าก่อนโควิด-19 ระบาดจากการขยายธุรกิจทุกมุม ได้แก่ 1) สัดส่วน BNN Online เพิ่มขึ้นหลังเสริมบริการทั้งผู้ช่วยช็อป-จัดส่งฟรี ส่งเสริมมาร์จิ้นในระยะ ยาว 2) เดินหน้าขยายสาขาจาก 936 สาขา เป็น 1,000 สาขา ภายในสิ้นปีล่าสุดการจับมือได้สิทธิบริหารสินค้าใน BigC 45 สาขา 3) การขยายแบรนด์ร้านใหม่ในกลุ่ม PC DIY (E-QUIP) รุกตลาดสินค้า High-end PC iv) การจับมือ Realme เป็น Sole distributor ซึ่งเป็นแบรนด์ อันดับสองที่มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในสินค้า IoTs 4) U Fund ให้บริการเงินผ่อนสินค้า Apple ทำให้บริษัทมีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น และสะท้อนบนยอดขายจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า กลุ่มในช่วงฟื้นตัวจากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น ขณะรายเล็กทยอยออกจากตลาดใน 1-2 ปี

ดังนั้นปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสมใหม่ 82.00 บาท และเมื่อมาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 14 ก.ย. 2564 อยู่ที่ระดับ 73.50 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 11.56%

บล.กรุศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL คาดว่าการเติบโตของกำไรในไตรมาส 4 ปี 2564 จะดำเนินต่อจากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนจากราคาเหล็กและรายได้ภาคการเกษตร นอกจากนี้คาดราคาเหล็กที่แข็งแกร่งในจีน หนุนจากนโยบาย CPP green และรายได้ภาคเกษตรที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปยังครึ่งแรกของปี 2565 จากความเป็นไปได้ที่สูงขึ้นของภาวะลานีญาจะเป็นปัจจัยกระตุ้นต่อ GLOBAL หากปัจจัยกดดันจากโควิด 19 ลดลง

ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท และเมื่อมาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 14 ก.ย. 2564 อยู่ที่ระดับ 21.30 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 12.67%

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ในส่วนการเติบโตของกำไรหลังจากนี้จะมีเสถียรภาพมากขึ้น จากเป้าหมายมุ่งสู่ Innovative Product สำหรับคนและสัตว์เลี้ยง ผ่านการทำ R&D ภายใต้ศูนย์วิจัย GIC ของบริษัทเอง การทำ JV จับมือกับพันธมิตรที่มีความเชียวชาญ เช่น IP, Thai Bev, V Foods และมีการลงทุนในธุรกิจ Food-Tech Startups ที่น่าสนใจ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคตกับสินค้าใหม่ๆในธีม Mega Trend ไม่ว่าจะเป็น Supplement, Alternative Protein, Plant Based Food และ Functional Drink เป็นต้น  ด้วยสัดส่วนรายได้ Pet Care&Value Added ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 24.8% ในครึ่งแรกของปี 2564 ซึ่งช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจทูน่าเหลือ 32.3% จาก 44.3% ในปี 2557

ดังนั้นยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 30.00 บาท  และเมื่อมาเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 14 ก.ย. 2564 อยู่ที่ระดับ 21.60 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 38.89%

Back to top button