คัด 8 หุ้นค้าปลีก! รับอานิสงส์น้ำท่วม-มาตรการรัฐหนุน ชู CRC-BJC-GLOBAL ท็อปพิค

คัด 8 หุ้นค้าปลีก! รับอานิสงส์น้ำท่วม-มาตรการรัฐหนุน ชู CRC-BJC-GLOBAL ท็อปพิค-อัพไซด์สูงสุด 34%


ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-26 ก.ย.64) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า อิทธิพลของพายุดีเปรสชั่น “เตี้ยนหมู่” ก่อให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของประเทศไทยรวม 14 จังหวัด  อาทิ จังหวัดเชียงใหม่,ลำพูน,ลำปาง,สุโขทัย,พิจิตร,ขอนแก่น,ชัยภูมิ,นครราชสีมา, อุบลราชธานี,นครสวรรค์,ชัยนาท,สิงห์บุรี และพระนครศรีอยุธยา รวม 55 อำเภอ 178 ตำบล บ้าน เขตเทศบาล ประชาชนได้รับกระทบ 13,930 ครัวเรือน

ทั้งนี้แม้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว 4 จังหวัด (เชียงใหม่ ลำปาง ตาก) ล่าสุดปภ. ได้แจ้ง 12 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพิ่มเติม ได้แก่ อุทัยธานี,ชัยนาท,สิงห์บุรี, อ่างทอง,สุพรรณบุรี,พระนครศรีอยุธยา,ลพบุรี,ปทุมธานี,นนทบุรี,สมุทรปราการ และสมุทรสาคร รวมถึงกรุงเทพมหานครให้เฝ้าระวังน้ำท่วมเพิ่มเติ่ม

จากกรณีดังกล่าวทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจกลุ่มหุ้นที่คาดว่าหุ้นกลุ่มึ้าปลีกจะได้รับผลดีจากน้ำท่วมและอาจจะมี Demand เร่งขึ้นในบางสินค้า กลุ่มซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน นอกจากนี้คาดว่าจะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการผ่อนคลายหลายกิจกรรมคุมเข้มโควิดมานำเสนอ โดยครั้งนี้รวบรวมข้อมูลจากบทวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน ซึ่งได้ระบุไว้ดังนี้

ผลกระทบและความเห็นต่อการเกิดน้ำท่วมหลายจังหวัดในภาคกลางและอีสาน แม้ไม่มีผู้ประกอบการค้าปลีกรายใดได้รับความเสียหายจากอุทกภัยดังกล่าว แต่ด้วยการสัญจรหลายพื้นที่ลำบากมากขึ้นจึงคาดกดดันปริมาณการใช้งานช่วงสั้นให้น้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกกลุ่มห้างสรรพสินค้า (CRC) ตามด้วยผู้ที่มีพื้นที่ชายส่วนใหญ่ในบริเวณดังกล่าว (GLOBAL, DOHOME)

ทั้งนี้หากไม่มีฝนตกหนักเพิ่มเติมเบื้องต้นคาด สถานการณ์ดังกล่าวจะค่อยๆดีขึ้นใน1-2 สัปดาห์ และอาจจะมี demand เร่งขึ้นในบางสินค้า กลุ่มซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน ดังนั้นจึงคาดไม่กระทบต่อประมาณการกำไรปี 2564 ของกลุ่มค้าปลีกอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจัยพื้นฐานยังเหมือนเดิมยังคงให้น้ำหนักการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานหลังไตรมาส 3/2564 เป็นหลัก ทั้งนี้แม้คาดกำไรสุทธิไตรมาส 32564 ของกลุ่มจะพลิกจุดต่ำสุดของปี โดยหดตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า แย่สุด คือ กลุ่มที่มีพื้นที่เช่า (CRC, ILM, BJC และ HMPRO) ประมาณการทั้งปีกลุ่มนี้อาจมี downside

ในขณะที่คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 ของ GLOBAL, DOHOME และ MAKRO จะยังเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตาม SSSG

อย่างไรก็ตามประเมินว่าไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายของตลาด ทั้งนี้ด้วยสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในไทยที่ลดลงประกอบกับอัตราการจัด วัคซีนที่เร่งตัวมากขึ้น ล่าสุดฉีดอย่างน้อย 1 โดยที่ 45% แล้ว โดยเฉพาะกทม.และปริมณฑลที่ขีดเข็มแรกแล้วมากกว่า 77% (ที่มา : กรมควบคุม โรค วันที่ 24 ก.ย.) คาครัฐจะทยอยผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น

โดยคาดประชุม ศบค.(27 ก.ย.64) อาจมีผ่อนปรนบางกิจการ เพิ่มเติม (เช่น โรงหนัง, เปา ฟิตเนส สถาบันกวดวิชาและร้านอาหารดนตรีสด) อาจมีลดช่วงเวลาเคอร์ฟิวหรือขยายจังหวัดรับนักท่องเที่ยว ต่างชาติเพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกตาม seasonal

อีกทั้งมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐที่จะออกมามากขึ้นในช่วงปลายปี เช่น เม็ดเงินเยียวยา ม. 39/40 แนวคิดโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 และโครงการชิม ช้อป ใช้ จึงให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของกำไรในไตรมาส 4/2564 และปี 2565  ของกลุ่มค้าปลีกมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีการปรับตัวดี Omni-channel, การเปิดตลาดใหม่ๆทั้งในและต่างประเทศ หรือคุมต้นทุนที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวได้เร็วและแรงกว่ารายอื่น

ดังนั้นคงคาดกำไรสุทธิปี 2564 กลุ่มจะลดลง 3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะฟื้นตัวเด่น 50% ในปี 2565 โดยที่คาดกำไรสุทธิของ CRC,CPALI และ BJC ปรับขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แรงสุดในปีหน้า

คงน้ำหนักการลงทุน BULLISH เพราะเชื่อว่าตลาดรับรู้เกี่ยวกับทิศทางผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 จะอ่อนแอไปแล้ว ดังนั้น คาดจึงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการเพื่อให้กำไรสุทธิปี 2564 ยังโตได้ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่แนวโน้มปี 2565 ที่จะฟื้นตัวเด่นตาม Theme การเปิดประเทศ ดังนั้นจึงยังคงเลือก CRC (ราคาเป้าหมาย 37 บาท) และ BJC (ราคาเป้าหมาย 40 บาท) ส่วนหากกังวลสถานการณ์โดวิตกลับมารุนแรงอีกครั้ง คงมอง GLOBAL (ราคาเป้าหมาย 28 บาท) จะเป็นพื้นที่กระทบน้อยสุดและคาดกำไรยังโตได้สูง

อย่างไรก็ตามโดยล่าสุด (27 ก.ย.64) คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรถึงวันที่ 30 พ.ย.นี้ ลดระยะเวลาห้ามออกนอกเคหสถานเป็น 22.00-04.00 น. และให้เปิดร้านเสริมสวย นวด/สปา สถานเสริมความงาม โรงภาพยนตร์ เล่นดนตรีในร้านอาหารได้ตามปกติ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้

(1) เห็นชอบการปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ตั้งแต่ 1 ต.ค. 64

  • เปิดกิจการ/กิจกรรม ดังนี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และเด็กก่อนวัยเรียน ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ ร้านทำเล็บ ร้านสัก สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (นวด สปา) กีฬาในร่ม โรงภาพยนตร์ การเล่นดนตรีในร้านอาหาร
  • ยังไม่เปิดดำเนินการ ได้แก่ ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการ
  • ลดเวลาห้ามออกจากเคหสถาน เป็น 22.00 -04.00 น. อย่างน้อย 15 วัน
  • ขยายเวลาสำหรับกิจการ/กิจกรรม เปิดบริการได้ถึง 21.00 น. ได้แก่ ศูนย์การค้า ร้านสะดวกซื้อ กีฬากลางแจ้งหรือในร่มเป็นที่โล่ง กีฬากลางแจ้งมีผู้ชมได้ 25%

(2) การปรับมาตรการสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร

  • ปรับลดระยะเวลาในการกักกันสำหรับผู้มีเอกสารวัคซีนโควิด-19 ครบ เหลือ 7 วัน ในส่วนผู้ที่ยังไม่มีเอกสารวัคซีน ให้กักตัว ตั้งแต่ 10 -14 วัน สำหรับการเดินทางเข้าประเทศทางอากาศกักตัว 7 วัน ทางน้ำและทางบก กักตัว 10 -14 วัน  อนุญาตให้ทำกิจกรรมในสถานที่กักกันฯ ตามเงื่อนไขที่กำหนด
  • เปิดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 1-31 ต.ค.64 ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เขาหลัก  เกาะยาว จ.พังงา และ เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ คลองม่วง ทับแขก จ.กระบี่

และแนวทางเปิดพื้นที่เพิ่มเติม 10 จังหวัด เริ่มวันที่ 1 พ.ย.64 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.กระบี่ จ.พังงา (ทั้งจังหวัด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน หนองแก) จ.เพชรบุรี (ชะอำ) จ.ชลบุรี (พัทยา บางละมุง จอมเทียน บางเสร่) จ.ระนอง เกาะพยาม จ.เชียงใหม่ (อ. เมือง แม่ริม แม่แตง ดอยเต่า จ.เลย (เชียงคาน) และ จ.บุรีรัมย์ (เมือง)

Back to top button