เรียบร้อยโรงเรียนจีน
การปล่อยตัว เมิ่ง ว่านโจว ซึ่งเป็นลูกสาวของเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท หัวเว่ย เข้าสำนวนที่ว่า “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” ได้
การปล่อยตัว เมิ่ง ว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ซึ่งเป็นลูกสาวของเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท หัวเว่ย และชาวแคนาดาสองคน ในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา น่าจะถือเป็นชัยชนะทางการทูตของรัฐบาลจีน หรือเข้าสำนวนที่ว่า “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” ได้
เมิ่งถูกกักบริเวณในบ้านพักในแคนาดาเกือบสามปีหลังถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับกุมที่แวนคูเวอร์เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ตามคำขอของสหรัฐซึ่งกล่าวหาว่าเธอทำให้ธนาคารเอชเอสบีซี เข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหัวเว่ยกับบริษัท สกายคอม ซึ่งเป็นบริษัทในเครือในอิหร่าน และอาจทำให้เอชเอสบีซีมีความเสี่ยงที่จะฝ่าฝืนมตรการคว่ำบาตรอิหร่านได้
รัฐบาลปักกิ่งได้ประณามคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในขณะนั้นว่า เป็นการจับกุมเพราะการเมือง และได้เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้ปล่อยตัวเธอ
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ทรัมป์ยังได้ออกระเบียบหลายอย่างเพื่อบีบหัวเว่ยและบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่งด้วยโดยนำเรื่องความมั่นคงของชาติมาเป็นข้ออ้าง จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกตึงเครียดอย่างหนัก
ขณะเดียวกัน การต่อสู้คดีของเมิ่ง ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีน สหรัฐและแคนาดาตึงเครียดอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จีนได้จับกุมชาวแคนาดาสองคน คือ “ไมเคิล คอฟริก” และ “ไมเคิล สปาวอร์” หลังจากแคนาจับเมิ่งได้เพียง 9 วัน มีการมองและตีความการจับกุมของจีนว่า เป็นการแก้แค้นทางการเมืองเช่นกัน
หลังจากที่ต้องขึ้นศาลต่อสู้ว่า สมควรจะส่งตัวเธอกลับไปดำเนินคดีในสหรัฐหรือไม่และการจับกุมของแคนาดาชอบธรรมหรือไม่ ในที่สุด เมิ่งก็ได้กลับบ้านเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ตกลงกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเพื่อเลื่อนคดีไปจนถึงปลายปี 2565 ในขณะนี้ มีความเป็นไปได้ว่า เมื่อถึงเวลานั้น อาจมีการยกเลิกข้อหาต่างได้
ไม่กี่ชั่วโมงหลังการปล่อยตัวเมิ่ง จีนก็ได้ปล่อยตัว คอฟริกและสปาวอร์ เช่นกัน และก่อนที่เมิ่งเดินทางถึงเสิ่นเจิ้น ซึ่งเป็นเมืองที่สำนักงานใหญ่ของหัวเว่ยตั้งอยู่ ทั้งสองคนก็ได้เดินทางถึงบ้านในเมือง คาลการี รัฐแอลเบอร์ต้า โดยมีนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์มาต้อนรับ
แต่การการกลับบ้านของชาวแคนาดา ไม่ได้เป็นข่าวเอิกเกริก เหมือนการกลับบ้านของเมิ่งเนื่องจากมีการต้อนรับลูกสาวของผู้ก่อตั้ง หัวเว่ยราวกับเป็นฮีโร่
ขณะที่เครื่องบินที่รัฐบาลจีนเช่าเหมาลำให้ บินลงสู่สนามบิน มีข้อความพิเศษจากหอบังคับการบินว่า “นี่คือสนามบินเสิ่นเจิ้นเป่าอันของจีน แผ่นดินแม่คือการสนับสนุนที่ทรงพลังที่สุดของคุณตลอดไป ยินดีต้อนรับการกลับมา คุณเมิ่ง ว่านโจว”
ภายในสนามบิน ประชาชนนหลายร้อยคนไปรวมตัวกันต้อนรับโดยถือธงชาติ ดอกไม้ และป้ายที่ปลุกความรักชาติ ขณะเดียวกัน อาคารสูงของเสิ่นเจิ้นสว่างไสวไปด้วยข้อความต้อนรับการกลับบ้านของเธอ และในสำนักงานใหญ่ของหัวเว่ย มีการปูพรมแดงต้อนรับกันเลยทีเดียว
เมิ่งกล่าวกับผู้ที่มาต้อนรับว่าในที่สุดก็ได้กลับบ้าน และได้ขอบคุณ”แผ่นดินแม่ พรรคคอมมิวนิสต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”ที่ห่วงใยความปลอดภัยของชาวจีนทุกคน นอกจากนี้ยังได้สาบานทิ้งท้ายว่าจะสนับสนุนสีและพรรค คอมมิวนิสต์ และให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อประเทศ
แม้ในการปราศรัย เมิ่งได้ย้ำหลายครั้งว่าเธอเป็นแค่คนจีนธรรมดาคนหนึ่ง แต่การต้อนรับเธอ มีความพิเศษเป็นอันมาก ในโลกอินเทอร์เน็ต มีการติดตามและพูดถึงการกลับมาของเธออย่างใกล้ชิด และมีการไลฟ์สดจากสื่อรัฐบางแห่งถึง 6 ชั่วโมงติดต่อกัน
หลายคนเรียกเธอว่าเป็นฮีโร่ของชาติและเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของจีนเหนือชาติตะวันตก และเหตุผลที่คนให้ความสนใจมากเพราะว่านี่เป็นการปฏิวัติทางการทูตของจีน และแสดงถึงความแข็งแกร่งของจีน
แต่ในขณะที่สื่อจีนประโคมว่า นี่เป็นชัยชนะของชาวจีน ไม่มีพลังใดที่จะสั่นคลอนสถานะของแผ่นดินแม่อันยิ่งใหญ่ได้ และยังได้ย้ำว่า เมิ่งไม่ได้ยอมรับผิด แต่ก็ไม่ได้มีการรายงานพูดถึงเรื่องที่เธอยอมรับต่อศาลว่าเธอได้บิดเบือนความสัมพันธ์ระหว่างหัวเว่ย กับบริษัทสกายคอม ต่อเอชเอสบีซี
ในขณะเดียวกัน นิโคล โบเอคมันน์ รักษาการอัยการสหรัฐ แถลงเมื่อวันศุกร์ว่า “ในการทำข้อตกลงเพื่อเลื่อนดำเนินคดี เมิ่งต้องรับผิดชอบต่อบทบาทหลักของเธอในการทำแผนฉ้อโกงสถาบันการเงินระดับโลก”
นั่นน่าจะแสดงให้เห็นว่า จีนมีชั้นเชิงที่แข็งแกร่งมากในการโฆษณาชวนเชื่อ และมีความเพียรพยายามช่วยเหลือและต่อรอง จนทำให้เมิ่งได้กลับบ้าน จึงก็ไม่น่าจะผิดที่จะกล่าวว่า นี่เป็นชัยชนะของจีน หรือเข้าสำนวนที่ว่า “เรียบร้อยโรงเรียนจีน”
ที่สำคัญกว่านั้น พัฒนาการนี้น่าจะชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐน่าจะคลายความตึงเครียดลงแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีต่อตลาดและการค้าโลกตามมา แม้ยังไม่มีอะไรการันตีว่า ความสัมพันธ์ของสองชาติจะกลับมาเป็นปกติ เป็นการถาวรหรือไม่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังคัดง้างกันอยู่