สูงสุดสู่สามานย์
ประยุทธ์จะอยู่อีก 5 ปี ? ด้วยอำนาจรัฐราชการ ใครออกมาไล่ก็ถูกจับขัง อยู่อีก 10 ปีก็อยู่ได้สบาย ๆ แต่ประเทศไทยอยู่ถึงไหม
ประยุทธ์จะอยู่อีก 5 ปี ? ด้วยอำนาจรัฐราชการ ด้วยเครือข่ายหนุนหลัง ด้วยฐานการเมืองยี้ ใครออกมาไล่ก็ถูกจับขัง ถูกตั้งข้อหาร้ายแรง จะดันทุรังอยู่อีก 10 ปีก็อยู่ได้สบาย ๆ แต่ประเทศไทยอยู่ถึงไหม
ระบอบประยุทธ์ที่มาจากรัฐประหาร เป็นตัวแทนรัฐราชการอนุรักษนิยม สืบทอดผ่านประชาธิปไตยปลอม มีเลือกตั้ง แต่ 250 ส.ว.ตั้งรัฐบาล กวาดต้อนนักการเมืองมารองมือรองตีน แต่ไม่ยอมรับระบบต่างตอบแทน ไม่แบ่งปันอำนาจผลประโยชน์ จนเกิดความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ
ระบอบประยุทธ์จึงพยายามปรับตัวอีกครั้ง ส่งนักการเมืองสวามิภักดิ์เข้าไปยึดกุมพรรค เช่นตระกูลคงอุดม ผู้กว้างขวางแห่งเตาปูน เชื่อมั่นว่าพลังประชารัฐจะเป็นเสาปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล แม้กินแหนงกันบ้าง แต่พอประยุทธ์คืนอำนาจดูแล 4 กรมในกระทรวงเกษตรฯ ให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แมลงสาบก็ไปต้อนรับประยุทธ์เยือนเมืองคอนกันยั้วเยี้ย
ขั้นต่อไปของระบอบประยุทธ์ จึงได้แก่การหาจุดลงตัวที่ “สามานย์” ระหว่างรัฐราชการเป็นใหญ่ ไม่ยอมให้นักการเมืองเข้าไปยุ่มย่ามกับอำนาจผลประโยชน์ที่ตีกรอบไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสนองประโยชน์นักการเมือง ที่สนับสนุนประยุทธ์ ไม่ให้ “อดอยากปากแห้ง”
7 ปีรัฐประหาร 57 ระบบราชการถอยหลังไปอยู่ใต้อุดมการณ์ Conservative “ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน” เน้นกฎระเบียบ เครื่องแบบ พิธีกรรม ความเคารพเชื่อฟัง มากกว่าความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้ข้าราชการบ้าอำนาจ คลั่งระเบียบ หาความดีความชอบด้วยการประจบเอาใจ แต่การทุจริตคอร์รัปชันก็ไม่ลดลง เลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ มุ่งเอาผิดประชาชนมากขึ้น
เมื่อจะเอาชนะทางการเมือง รัฐอนุรักษนิยมไร้สมองต้องใช้งานนักการเมือง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากระบบอุปถัมภ์ “บ้านใหญ่” ทุนอิทธิพลท้องถิ่น ชนะใจชาวบ้านด้วยการดูแลตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน (ไม่ได้พูดเล่น นักการเมืองหลายท้องที่มีรถรับศพบริการ) เรียกได้ว่า มีจิตบริการสาธารณะเปี่ยมล้น น้ำท่วมถึงอกลงไปลุย ภัยแล้งภัยหนาวช่วยชาวบ้านก่อนใคร ข้าราชการที่ทำตัวเป็นเจ้านายเข้าไม่ถึงประชาชนอย่างนี้นะ
กระนั้นก็รู้กัน การเมืองอุปถัมภ์ต้องมีค่าใช้จ่าย มีท่อน้ำมัน หล่อเลี้ยงกลไกเครือข่าย ต้องการงานรับเหมา สัมปทาน จัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ อย่างที่พวกภาคีเครือข่ายต้านโกงอะไรนั่นเกลียดชังนักหนา
การเมืองอุปถัมภ์สมควรต่อต้าน แต่ต้องเข้าใจว่า มันสนองประโยชน์ประชาชน มันจะลดลงเมื่อการปกครองท้องถิ่นเข้มแข็ง มันเคยลดลงเมื่อการเมืองระดับประเทศแข่งขันด้วยนโยบาย ด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ระบอบประยุทธ์เอาการเมืองอุปถัมภ์มาค้ำอำนาจรัฐราชการล้าหลัง พูดอย่างเป็นรูปธรรมคือด้านหนึ่งก็ปล่อยให้นักการเมืองทำมาหากิน ให้เอางบประมาณโครงการรัฐไปหาเสียง แต่อีกด้านก็ไม่ยอมให้นักการเมืองแตะต้องรื้อถอนอำนาจรัฐราชการ
อันที่จริง นักการเมืองจากระบบอุปถัมภ์บางส่วนก็พอมีจิตสำนึกประชาธิปไตย เข้าใจปัญหาประชาชนมากกว่านายพลผู้นำรัฐประหาร มีความต้องการรื้อโครงสร้างนโยบายบางจุด แต่รัฐราชการไม่ยอม บอกว่าจะโกงก็โกงไป ขอให้ค้ำประยุทธ์ก็พอ เรื่องอื่นอย่าแตะต้อง
นั่นแหละจุดเสื่อมสุดของการเมืองไทย ประยุทธ์ประวิตรเดินทางไปไหน ข้าราชการ-นักการเมือง ระดมคนมาต้อนรับ ขึงป้ายไวนิล สำนึกบุญคุณ ล้างถนนตัดต้นไม้ ฯลฯ รัฐมนตรีแต่งชุดราชการ รอฟังคำให้โอวาทตกยุค บอกให้เรียนรู้โลกดิจิทัล แต่ขอให้ฟังเพลงชาติและสามัคคีชุมนุม
หลายปีที่ผ่านมา คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีชอบด่านักการเมือง โง่ โกง (แต่พอเกิดพรรคคนรุ่นใหม่ก็เกลียดชัง) นักการเมืองโง่มีจริงนะ แบบตัดต่อภาพตัวเองลุยน้ำ เขี้ยวลากก็เห็นกัน แบบนั่งผับกินนมเย็น
แต่ที่โง่กว่าโกงกว่าคือรัฐราชการ เอานักการเมืองไปเป็นเบี้ยล่าง ถ้าคุมได้เบ็ดเสร็จสืบทอดอีกครั้งก็ถึงจุดสูงสุดของความสามานย์