MAKRO ปิดจ็อบโอน “โลตัสส์” ต.ค.นี้ เดินแผนผนึก SMEs – รายย่อย ดันสินค้าไทยสู่ตลาดโลก

“แม็คโคร” เดินหน้ารับโอนกิจการของกลุ่มโลตัสส์ หลังได้รับไฟเขียวจากผู้ถือหุ้น พร้อมร่วมมือกับเอสเอ็มอี (SMEs) และผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทย เพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าของผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก


บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO เดินหน้ารับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์ในไทยและมาเลเซียจากบริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) พร้อมจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement หรือ PP) เพื่อตอบแทนการรับโอนกิจการทั้งหมดจาก CPRH หลังได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งคาดดำเนินการจะเสร็จสิ้นภายใน 1-3 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้เตรียมยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน รองรับการขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ที่จะผนึกกำลังเอสเอ็มอี (SMEs) และผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทย เพื่อนำสินค้าไทยท่องสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งนำมาสู่การยอมรับสินค้าไทยในระดับสากล พร้อมพัฒนาโมเดลธุรกิจแบบ O2O ผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

หลังจากนี้ MAKRO เตรียมยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุมัติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO) โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF) จะร่วมเสนอขายหุ้นสามัญของ MAKRO ที่ตนถืออยู่บางส่วน เพื่อกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เป็นไม่น้อยกว่า 15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้น MAKRO ที่จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่เพิ่มขึ้น สภาพคล่องการซื้อขายที่ดีขึ้น และมีโอกาสในการเข้าคำนวณในดัชนีสำคัญต่าง ๆ เช่น SET 50 และ MSCI เป็นต้น

ดังนี้ส่งผลให้หุ้น MAKRO เป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน ในการเป็นเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจ ลดต้นทุนทางการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการของ MAKRO

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล รองประธานกรรมการที่ 2 และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร กล่าวว่า “ภายหลังจากที่ MAKRO รับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์ จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นจากการรับรู้รายได้กิจการของกลุ่มโลตัสส์เข้ามาในงบการเงินของบริษัทฯ และหากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายจะส่งผลดีต่อการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เศรษฐกิจและกำลังซื้อฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้ MAKRO และกลุ่มโลตัสส์มียอดขายเพิ่มขึ้นและรายได้จากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าของโลตัสส์ที่จะเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย”

นอกจากนี้ นางสุชาดา ยังเปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ทางบริษัทมีแผนที่จะร่วมมือกับเอสเอ็มอี (SMEs) และผู้ผลิตรายย่อยของไทยในการสนับสนุนช่องทางการจายสินค้าของผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลกผ่าน “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์และยกระดับสินค้าไทยสู่มาตรฐานสากล พาประเทศไทยก้าวเป็นฮับหรือศูนย์กลางของอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภค (Fresh Food and Grocery) ในภูมิภาค และเป็นครัวของโลก (Kitchen of the World) โดยเชื่อว่า สินค้าไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะขยายสู่ตลาดนานาชาติได้ หากได้รับการสนับสนุนด้านช่องทางการกระจายสินค้า การทำการตลาด และข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล โดยมี COVID-19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความต้องการเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น MAKRO และโลตัสส์ จะร่วมมือกันพัฒนาโมเดลธุรกิจด้วยการผสมผสานช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (offline and online หรือ O2O) เพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำบริษัทฯ ก้าวสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล ตลอดจนยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ให้แข็งแกร่ง และสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการในระดับสากลได้

นางสุชาดา กล่าวทิ้งท้ายเพิ่มเติมว่า “เราพร้อมเป็นช่องทางการกระจายสินค้าและนำแพลตฟอร์มออนไลน์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นมาสร้างโอกาสแก่เอสเอ็มอีและผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทย โดยร่วมมือกันนำสินค้าไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อรับโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”

Back to top button