“บล.ฟินันเซีย” ชี้เป้า 4 หุ้นน่าสะสม รับธีมกัญชงปี 65 มองมูลค่าตลาดช่วงแรกโต 20-30%
“บล.ฟินันเซีย” ชี้เป้า 4 หุ้นกัญชงกลางน้ำ-ปลายน้ำ OSP CBG ICHI RBF น่าเก็บ รับธีมกัญชงปี 65 คาดจะเริ่มเห็นสินค้ากัญชงทยอยออกสู่ตลาดในไตรมาส 1/65 ประเมินมูลค่าตลาดกัญชงไทยช่วงแรกโตสูง 20%-30% ส่วนตลาด CBD จะสูงกว่า 50%-60%
บริษัทหลักทรพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ (14 ต.ค.2564) มองว่าธีมกัญชงถัดจากนี้ กลุ่มที่น่าสนใจจะขยับไปอยู่ที่ผู้ประกอบการปลายน้ำ ส่วนกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะราคาหุ้นเริ่มสะท้อนปัจจัยกัญชงไปพอควร สุดท้ายแล้วกัญชงจะเป็นเพียงกระแสหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้ สิ่งที่ทำได้ คือ ติดตามพัฒนาการกันต่อไป แต่ฝายวิจัยยังมองบวกต่อผู้ประกอบการไทย เพราะส่วนใหญ่มีธุรกิจเดิมที่สร้างรายได้และกำไรได้สม่ำเสมออยู่แล้ว หาก Worst Case กัญชงไม่สำเร็จ เชื่อว่าผลการดำเนินงานจะไม่แย่ถึงขั้นขาดทุน
ทั้งนี้ยกฎหมายกัญชงไทยเดินทางถึงปลายน้ำแล้ว โดยตั้งแต่ปลดล็อกกัญชงกัญชาช่วงปลายปี 2563 ได้มีกฎหมายทยอยออกมาจนถึงฉบับปลายน้ำ คือ การนำสารสกัด CBD มาใช้มีผลเดือนส.ค. 2564 รวมเป็นเวลาราว 8 เดือน มองว่าหลังจากนี้จะไม่มีประเด็นการประกาศกฎหมายสำคัญที่จะหนุนการเก็งกำไรหุ้นกัญชงแล้ว
โดยข้อมูลจากระบบสืบค้นอย.ล่าสุด 12 ต.ค. 2564 พบว่ามีผู้ได้รับใบอนุญาตรวมทุกใบ 874 ราย โดยมีในนามบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับอนุญาต 6 บริษัทได้แก่ RBF (ปลูก สกัด) DOD (นำเข้า สกัด) MALEE (นำเข้า) GUNKUL (นำเข้า) TIPCO (ปลูก) และ WINNER (ปลูก) และยังมี 6 บริษัทที่ได้ในนามของพันธมิตร ได้แก่ NRF (GTH-นำเข้า) UPA (GTG-นำเข้า ปลูก) PIMO (88 แคนนาเทค-นำเข้า จำหน่าย) ZIGA (แพล้นโทโลยี-นำเข้า) TWZ (รักจังฟาร์ม-ปลูก) และล่าสุด GUNKUL (THCG-ปลูก) ยังมีอีกหลายบริษัทที่สนใจและอยู่ระหว่างขออนุญาต
ทั้งนี้คาดตลาดกัญชงโลกยังโตปีละ 21% ถึงปี 2570 ปัจจุบันมีประเทศที่อนุญาตให้ใช้กัญชงได้กว่า 60 ประเทศทั่วโลกและไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียน มูลค่าตลาดกัญชงทั่วโลกปี 2563 อยู่ที่ US$5.73 พันล้าน (เพิ่มขึ้น 25.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน) โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4 ปีที่ผ่านมา CAGR สูงราว 20% ประเทศที่มีมูลค่าตลาดมากสุดคืออเมริกาเหนือ (สหรัฐและแคนาดา) และคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดกัญชงโลกปี 2564-2570 จะโตต่อเฉลี่ย CAGR 21%
ขณะที่คาดหุ้นกัญชงในต่างประเทศจะมีกำไร 2565 ใช้เวลา 4 ปี ซึ่งบล.ฟินันเซีย ไซรัส ได้ศึกษา 14 บริษัทผู้นำกัญชงกัญชาในสหรัฐและแคนาดา ที่ Market Cap สูงและกองทุนสนใจ ส่วนใหญ่เริ่มเข้า Listed ปี 2561 ภายหลังปลดล็อคกัญชงให้ถูกกฎหมายระดับประเทศ ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างมาก และเริ่มปรับลงครึ่งหลังปี 2563 หลังยังขาดทุนต่อเนื่อง และนักลงทุนกลับมาสนใจอีกครั้งในปี 2564 จากเทรนด์การควบรวมกิจการของบริษัทกัญชงกัญชาที่กำลังเป็นที่นิยม ภายใต้กลยุทธ์สร้างการเติบโตควบคู่กับการอยู่รอด และคาดการณ์ว่าจะเริ่มพลิกมีกำไรในปี 2565
ส่วนคาดราคาขายกัญชงไทยจะสูงใน 2 ปีแรก เหมือนราคากัญชงโลก มองว่ามูลค่าตลาดกัญชงไทยในช่วงแรกจะเติบโตสูง 20%-30% ส่วนตลาด CBD จะสูงกว่า 50%-60% จาก Supply ที่ยังน้อย และหากเทียบเคียงกับราคา CBD ในสหรัฐที่เร่งตัวขึ้นในปี 2561 หลังกฎหมายปลดล็อก ต่อมาเมื่อ Supply ออกมากขึ้นตามพื้นที่ปลูกที่เพิ่มจาก 6.5 หมื่นไร่ปี 2560 เป็น 5.3 แสนไร่ปี 2562 กอปรกับการแข่งขันสูงขึ้น ทำให้ราคา CBD ปรับลงอย่างมีนัยในปี 2563 มองว่าแนวโน้มราคาวัตถุดิบกัญชงไทยจะไม่ต่างจากสหรัฐ โดยราคา CBD ปัจจุบันที่สูงราว 2-3 แสนบาท/กก. น่าจะทรงตัวสูงไปจนถึงกลางปี 2566 และจากนั้นเชื่อว่าจะเริ่มปรับลง
ดังนั้นจึงถึงเวลามองหาตัวจริงปลายน้ำ หลังราคาหุ้นกลุ่มต้น-กลางน้ำปรับขึ้นมามาก เริ่มสะท้อนปัจจัยบวกกัญชง จากนี้จะเข้าสู่โหมดติดตามความคืบหน้า หากไม่ได้ตามแผนอาจสร้างความผิดหวังให้กับตลาด ขณะที่มองกลุ่มปลายน้ำน่าสนใจมากขึ้น หลังเริ่มได้วัตถุดิบ คาดจะเริ่มเห็นสินค้ากัญชงทยอยออกสู่ตลาดในไตรมาส 1/2565 ซึ่งมีหลายบริษัทที่น่าสนใจและฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ มองหาตัวจริงที่นำเสนอสินค้ามีคุณภาพ ดึงสรรพคุณของกัญชงออกมาได้โดดเด่น และต้องมีกลิ่น รส ถูกใจผู้บริโภค
โดยมีเกณฑ์ 1.ราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มาก 2.ธุรกิจเดิมจะกลับมาฟื้นในปี 2565 หลัง COVID คลี่คลาย และ 3.หากกัญชงไม่สำเร็จ จะกระทบผลการดำเนินงานจำกัด สำหรับธีมกัญชงปี 2565 ปลายน้ำเลือก OSP, CBG, ICHI และกลางน้ำเลือก RBF ที่ราคาหุ้นปรับลงจนมี Upside กว้างขึ้น