“สถิตย์”เตรียมนำทีมตลท.พบผู้ว่าธปท.ผลักดันซื้อขายด้วยสกุลตปท.

"สถิตย์"เตรียมนำทีมตลท.พบผู้ว่าธปท.ผลักดันซื้อขายด้วยสกุลตปท.


นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ก่อนที่จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในสิ้น เดือน ต.ค.นี้ ก็จะร่วมกับผู้บริหารของ ตลท.เข้าหารือกับนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)คนใหม่เพื่อผลักดันการซื้อขายหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ในรูปของสกุลเงินตราต่างประเทศ ซึ่งเบื้องต้นอาจจะเป็นสกุลเงินดอลลาร์และหยวนก่อน

อย่างไรก็ดี คงจะต้องให้ ธปท.เป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งทาง ธปท.อาจจะต้องพิจารณาถึงเรื่องเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย จึงคาดว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะ แต่การเพิ่มการซื้อขายด้วยสกุลเงินตราต่างประเทศจะเป็นการเปิดโอกาสจะให้นักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยได้มาก

นายสถิตย์ กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าภายในปีนี้คาดว่ามูลค่าตลาดหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป)ของตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปอยู่อันดับที่ 2 ของอาเซียนอย่างแน่นอนและจะเพิ่มขึ้นเป็นที่ 1 ได้ในอนาคต ปัจจุบัน ณ สิ้นเดือน ก.ค.58 มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 3.96 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือเป็นอันดับ 3 รองจากมาเลเซียที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 4.28 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และมีสิงคโปร์เป็นอันดับ 1 ที่มูลค่ามาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 7.06 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดย ตลท.จะมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และสินค้าใหม่ๆ เข้ามาในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เช่นการเพิ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการชักชวนให้บริษัทต่างชาติมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น

นายสถิตย์ เปิดเผยอีกว่า ได้แสดงเจตจำนงที่จะสละสิทธิการต่อวาระดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ตลท.แม้ว่าจะมีกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เสนอให้เข้าดำรงตำแหน่งต่ออีกวาระ เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมาได้ทำให้ตลท.มีความก้าวหน้ามาพอสมควรแล้ว ทั้งในเรื่องของความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน รวมไปถึงการกำกับการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพด้วยการนำระบบบริหารความเสี่ยงเข้ามาเพื่อให้การซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ไทยมีความเป็นสามากลมากขึ้น จนขณะนี้มูลค่าการซื้อขายปีนี้เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาทถือว่ามีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียน

ประกอบกับ มีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ ซึ่งนอกจากจะมีบริษัทเอกชนเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพิ่มขึ้นแล้ว และยังมีกองทุนเพื่อมาช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายด้วย รวมไปถึงผลงานการควบรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า(AFET)เข้าไปอยู่ในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้า(TFEX) ส่งผลให้ภาครัฐประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ขณะเดียวกันยังมีการเพิ่มจำนวนนักลงทุนรายย่อยปีละกว่า 1 แสนบัญชีทำให้ปัจจุบันมีจำรวนนักลงทุนรายย่อย 1.2 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 55% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด ซึ่งส่วนที่เหลือจะเป็นนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติเพื่อสร้างความสมดุลในการซื้อขายผ่านหลักทรัพย์ อีกทั้งยังช่วยยกระดับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สามารถเข้าไปคิดคำนวณในดัชนีDJSI เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 13 บริษัทฯ และภายหลังจากนี้จะไปดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

นอกจากนี้ยังจะมีการสานต่อในเรื่องDigital Exchange คือผลักดันให้เรื่องดิจิตอลคือ1.การใช้เอกสารธุรกรรมให้เป็นดิจิตอลไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อขายหรือการบริหารงานภายในและการเชื่อมต่อระหว่างนักลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์ให้เข้าสู่การเป็นดิจิตอลสมบูรณ์แบบ ซึ่งต้องมีการขอความร่วมมือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(กระทรวงไอซีที) 2.รวมไปถึงการสร้างรายมือชื่อชัดเจน ซึ่งต้องมีการเจรจากับกระทรวงในเรื่องลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 80 %

Back to top button