ครม.เห็นชอบยุทธศาสตร์ “ลดก๊าซเรือนกระจก” เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ครม. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อตอบสนองต่อการร่วมมือกับประชาคมโลกตามข้อตกลงปารีส ว่าด้วยเรื่องการพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก พร้อมมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (19 ต.ค 2564) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย พร้อมเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จัดส่งร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวต่อสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาฯ ในช่วงการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-12 พ.ย.64

โดยสาระสำคัญของยุทธศาสตร์ระยะยาวฯดังกล่าว จัดทำเพื่อตอบสนองต่อความร่วมมือกับประชาคมโลกในสนธิสัญญา”ความตกลงปารีส” ตามข้อ 4 วรรค 19 ของความตกลงปารีส ว่าด้วยเรื่องการพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มข้น

สำหรับประเทศไทย ได้ตั้งเป้าตั้งเป้าหมายที่จะมีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี พ.ศ.2573 มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยเร็วที่สุดภายในครึ่งหลังของศตวรรษนี้ และมีความพยายามในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี พ.ศ.2608 ซึ่งการยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศและการได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงิน เทคโนโลยี และการเสริมสร้างขีดความสามารถจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายนี้ได้

ทั้งนี้ยุทธ์ศาสตร์ดังกล่าว ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและขนส่งอย่างเร่งด่วน รวมถึงการปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าการลงทุนในธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายในปี พ.ศ.2593 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและมาตรการที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องตามแนวทางการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลก 2 องศาเซลเซียส และการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

นอกจากนี้การดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกยังก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วม (co-benefit) เช่น ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศเพิ่มขึ้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวประชากรลดลง ทำให้มลพิษทางอากาศ ได้แก่ ออกไซด์ของไนโตรเจน คาร์บอนมอนอกไซด์ PM 2.5 ลดลง โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทยจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

Back to top button