พาราสาวะถีอรชุน
คงไม่ต้องสงสัยกับกระแสข่าวที่ว่าผู้มีอำนาจล้มโต๊ะปรองดอง โดยหันมาเล่นเกมไล่ทุบกลุ่มอำนาจในเครือข่ายระบอบทักษิณแทน เห็นได้ชัดเจนจากการเตรียมใช้คำสั่งทางปกครอง โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมครม.ในการสั่งให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องชำระค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท เท่ากับเป็นการยึดทรัพย์ทางอ้อม
คงไม่ต้องสงสัยกับกระแสข่าวที่ว่าผู้มีอำนาจล้มโต๊ะปรองดอง โดยหันมาเล่นเกมไล่ทุบกลุ่มอำนาจในเครือข่ายระบอบทักษิณแทน เห็นได้ชัดเจนจากการเตรียมใช้คำสั่งทางปกครอง โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมครม.ในการสั่งให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องชำระค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท เท่ากับเป็นการยึดทรัพย์ทางอ้อม
ร้อนถึงอดีตนายกฯหญิงต้องส่งคนไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันนี้ โดยมองว่าทีมเนติบริกรของรัฐบาลกำลัง“พลิกมุมกฎหมายและกลไก” ในการเรียกค่าเสียหายใหม่ เพราะเห็นว่าหากดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่ง จะทำให้รัฐต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมศาลเป็นจำนวนมาก จึงเลือกใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อที่จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล
นอกจากนั้น ยิ่งลักษณ์ยังเห็นว่า ใช้อำนาจหน้าที่ตามกระบวนการดังกล่าวเสมือนหนึ่งเป็นคำพิพากษาของศาล เป็นกลไกในการชี้ถูกผิดว่าจะให้ผู้ใดรับผิดชอบในค่าเสียหายต่อการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว ทั้งที่การพิจารณาคดีของศาลในคดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น กรณีเช่นนี้เท่ากับว่ารัฐบาลได้มองข้าม“หลักประกันแห่งความยุติธรรม”
อย่างไรก็ตาม น่าจะชัดเจนจากบทสัมภาษณ์ของ วิษณุ เครืองาม มือกฎหมายประจำรัฐบาลแล้ว ที่ยืนยันถึงเรื่องอายุความ ซึ่งเนติบริกรรายนี้ย้ำว่า ไม่มีทางเลือกอื่นจะรอช้าไม่ได้ หวั่นขาดอายุความ โดยที่เจ้าตัวย้ำกับนักข่าวเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา วันนี้มาพูดกันทำไมเรื่องอายุความ ในเมื่อยังไม่มีใครบอกว่ามันจะครบ
รัฐบาลไม่เคยพูดเลยคือถ้านับแบบที่คนหนึ่งนับอาจจะเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่เมื่อ 4-5 เดือนก่อน แต่ถ้าให้อีกคนหนึ่งนับก็จะนับในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าถึงจะเป็นแบบใดก็ตามมันก็คือไม่ขาดอายุความทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะเดือดร้อนอะไร เพราะอย่างไรเขาก็จะฟ้องกันอยู่ไม่กี่วันนี้อยู่แล้ว มันก็อยู่ในอายุความไม่ว่าจะนับจากไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นทำให้เสร็จเสียภายใน 2 ปี
ก่อนที่เนติบริกรรายนี้จะแจกแจงต่อว่า ยังเหลือระยะเวลาอีก 1 ปีครึ่ง เพราะฉะนั้นขอแสดงความเสียใจด้วยหากจะพูดเรื่องอายุความ ส่วนขั้นตอนหลังจากนั้นคณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังเมื่อสรุปเรื่องเสร็จแล้วก็จะส่งให้นายกฯพิจารณาโดยผ่านมาที่ตน จากนั้นนายกฯจะส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งพิจารณาสำนวนทั้งหมด
ถ้าเห็นด้วยก็จะเสนอกลับมาที่นายกฯ เพื่อให้ออกคำสั่งทางปกครองว่าบุคคลนั้นๆ มีความผิดและให้ชำระหนี้ภายในกี่วัน สมมติให้ชำระภายใน 30 วัน ถ้าบุคคลนั้นยอมมาชำระก็จบ แต่ถ้าไม่ชำระก็มีสิทธิอุทธรณ์และร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของนายกฯ จากนั้นคดีก็จะเข้าไปอยู่ในชั้นศาล โดยเขาเป็นโจทก์รัฐบาลเป็นจำเลย
แม้จะมีการอธิบายกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย แต่หลายฝ่ายก็อดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นกระบวนท่ารุกเข้าใส่คนในระบอบทักษิณ เพราะในคราวเดียวกัน ยังมีข่าวศาลอาญาออกหมายจับ ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติหมิ่นประมาทกองทัพและองคมนตรีอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ ชี้เจตนาหลบหนีไม่มาศาล แต่สั่งจำหน่ายคดีเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะตามตัวจำเลยมาได้
ด้วยแนวทางเช่นนี้กระมัง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.จึงมองว่า สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ กลุ่มผู้มีอำนาจได้สร้างวาทกรรมความชิงชังตัวบุคคลขึ้นมาเบี่ยงเบนสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ชี้วัดกันด้วยความศรัทธาของประชาชน ความชิงชังถูกปลุกสร้างและตอกย้ำความขัดแย้งเก่าขึ้นมาอีก เพราะต้องการให้กลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้รับผิดในปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงในขณะนี้
การกระทำดังกล่าวเท่ากับซ้ำเติมความบอบช้ำของประเทศให้สาหัสยิ่งขึ้น ต้องไม่ลืมว่าในหลายปีผ่านมา สังคมเกิดภาวะชิงชัง มีการกล่าวหาในเรื่องความดีความเลว แต่ใครเลวถ้ามาอยู่กับตัวเองจะถือว่าเป็นคนดี แต่ใครดีเมื่อเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ว่าเลว ตัวอย่างมีให้เห็นกรณี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ วิษณุ เครืองาม และ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ทั้งสามคนเคยอยู่ร่วมรัฐบาลทักษิณมาทั้งนั้น
ถ้ารัฐบาลทักษิณเลวทุกอย่างแล้วทำไมคนพวกนี้ดีมาได้ นั่นเท่ากับว่า การจะดีหรือเลวจึงขึ้นอยู่ว่ามีที่ยืนอยู่ตรงไหนของอำนาจ ท่าทีย้อนแย้งเช่นนี้คงเป็นเหมือนกรณีที่นายกฯและหัวหน้าคสช. ส่งสารถึงประชาชนพูดถึงกรณีเผด็จการรัฐสภา ที่ถ้าฝรั่งมั่งค่าได้ยินคงทำหน้าไม่ถูก ถ้าเผด็จการรัฐสภาเป็นเรื่องสามานย์แล้ว เผด็จการทหารนั่นจะเรียกว่าอะไร
เช่นเดียวกับกรณีคำพูดของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ออกมาล่าสุดว่าไม่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง ตามพฤติกรรมที่ผ่านมาก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเจ้าตัวแนบชิดกับอำนาจจากการรัฐประหารเสียจนคุ้นชิน แต่คำพูดดังกล่าวก็เป็นวาทกรรมเก่า เป็นคำพูดของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานองคมนตรี
วาทกรรมของป๋านั้นมีชัยนำมาใช้เป็นหนที่สองแล้ว หลังจากที่หนแรกพูดถึงการรับตำแหน่งเพื่อแทนคุณแผ่นดิน หรือว่าการใช้คารมคมคายนั้นมันเป็นเรื่องของมือกฎหมายผู้ช่ำชองอันจะเห็นได้จากนักการเมืองหลายต่อหลายรายในสังกัดบางพรรคการเมืองที่เก่งแต่พูด พอลงมือทำแล้วเหลวเป๋วมาหลายครั้งหลายหน จนต้องตกเป็นฝ่ายค้านดักดาน
หากจะพิสูจน์คำพูดของตนเองว่าไม่ทะเยอทะยานทางการเมือง อันหมายถึงไม่ได้คำนึงถึงคะแนนเสียงความนิยมชมชอบ มีชัยคงต้องร่างรัฐธรรมนูญเหมือนที่ ปูนเทพ ศิรินุพงษ์ บอกเอาไว้ว่า ต้องไม่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ไม่มีองค์กรนอกรัฐธรรมนูญ เพราะประเทศที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด คุณจะไม่สามารถจินตนาการถึงการที่รัฐธรรมนูญถูกฉีกได้ เพราะอำนาจต่างๆถูกหลอมรวมเข้ามาอยู่ในรัฐธรรมนูญ ทำเช่นนี้ได้หรือไม่เป็นเครื่องหมายคำถามที่รอการพิสูจน์