CIMBT ดีดแรง 9% หลังประกาศงบ Q3 กำไรโต 8 เท่าตัว หนุน 9 เดือนทะลุ 1.7 พันลบ.
CIMBT ดีดแรง 9% มาที่ 0.96 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 80.71 ลบ. หลังประกาศงบไตรมาส 3/64 กำไรโต 8 เท่าตัว จากปีก่อนมีกำไร 81.66 ลบ. หนุน 9 เดือนเพิ่มขึ้นแตะ 1.71 พันลบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT ล่าสุด ณ เวลา 10:11 น. อยู่ที่ 0.96 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 9.09% สูงสุดที่ 0.98 บาท ต่ำสุดที่ 0.92 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 80.71 ล้านบาท
ทั้งนี้ รคาหุ้น CIMBT ปรับตัวขึ้น หลังรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2564 มีกำไรเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิ 753.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 823% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 81.66 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกปี 2564 กำไร 1.71 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนกำไร 1.47 พันล้านบาท
โดยนายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CIMBT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,708.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 240.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.4 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2563 สาเหตุหลักเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 12.3 และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 6.0 ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 5.4%
ส่วนรายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2564 มีจำนวน 10,883.8 ล้านบาท ลดลงจำนวน 620.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.4 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2563 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 783.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้ออันเนื่องมาจากการขยายตัวของสินเชื่อลดลงสุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจำนวน 159.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าขายประกันและหน่วยลงทุน รายได้จากการดำเนินงานอื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 3.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2
ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดเก้าเดือนปี 2564 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2563 ลดลงจำนวน 849.9 ล้านบาทหรือร้อยละ 12.3 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารด้านทรัพยากรบุคคลและการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานงวดเก้าเดือนปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 55.7 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 60.1
ส่วนอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin NIM) สำหรับงวดเก้าเดือนปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 3.1 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 3.3 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ
โดยวันที่ 30 กันยายน 2564 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 216.6 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 251.0 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.2 จากสิ้นปี 2563 ซึ่งมีจำนวน 251.4 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 86.3 จากร้อยละ 90.3 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563
ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ร้อยละ 4.6 สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2564 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้
ส่วนอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 อยู่ที่ร้อยละ 105.9 เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 93.3 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.4 พันล้านบาท เป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.7 พันล้านบาท
ด้านเงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 กันยายน 2564 มีจำนวน 54.0 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 20.7 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 15.0