MAKRO ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น “พีโอ” 2,270 ล้านหุ้น – เดินหน้าแพลตฟอร์ม O2O รับยุคดิจิทัล

MAKRO ยื่นไฟลิ่ง เสนอขาย หุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิมแก่ประชาชนทั่วไป จำนวนไม่เกิน 2,270 ล้านหุ้น โดยจะกำหนดขึ้นเครื่องหมาย Record Date วันที่ 23 พ.ย.นี้


นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-กลุ่มธุรกิจ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2564 ให้รับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ในประเทศไทยและมาเลเซียจากบริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) และดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement หรือ PP) รวมถึงเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering หรือ PO)

โดยล่าสุด MAKRO ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิมแก่ประชาชนทั่วไป (PO) จำนวนไม่เกิน 2,270,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท

ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,362,000,000 หุ้น (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL จำนวนไม่เกิน 363,200,000 หุ้น (3) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด (CPH) จำนวนไม่เกิน 363,200,000 หุ้น และ (4) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด (CPM) จำนวนไม่เกิน 181,600,000 หุ้น รวมคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.32% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปของบริษัทฯ เสร็จสิ้น

นอกจากนี้ MAKRO อาจพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกินแก่ผู้จองซื้อเกินกว่าจำนวนหุ้นที่จำหน่ายโดยผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Agent) จำนวนไม่เกิน 340,500,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เป็นไม่ต่ำกว่า 15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบันทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีโอกาสเข้าคำนวณดัชนีที่สำคัญต่าง ๆ โดยการเสนอขายหุ้น PO ครั้งนี้ จะเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน เพื่อนำไปใช้ขยายการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการต่อไป

ทั้งนี้ ในการเสนอขายหุ้น PO ที่ประชุมคณะกรรมการ MAKRO เมื่อวันที่ 25 ต.ค.มีมติอนุมัติการจัดสรรหุ้นบางส่วนจากหุ้นสามัญทั้งหมดที่จะเสนอขาย PO เพื่อจัดสรรแก่ผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ 1) ผู้ถือหุ้นเดิมของ MAKRO (ยกเว้น CPALL บริษัทย่อยของ CPALL CPM และ CPH) 2) ผู้ถือหุ้นเดิมของ CPALL (ยกเว้นกลุ่มบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด) และ 3) ผู้ถือหุ้นเดิมของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) (ยกเว้นกลุ่ม CPG) ในราคาเสนอขายหุ้นเท่ากับราคาที่จะเสนอขาย PO

พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 23 พ.ย.64 เป็นวันที่กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นของ MAKRO (Record Date) ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นบางส่วนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมจากหุ้นทั้งหมดที่จะเสนอขาย PO

“ปัจจุบันบริษัทได้รับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 25 ต.ค.64 ซึ่งนับเป็นวิสัยทัศน์ที่ก้าวสำคัญของบริษัทที่จะเสริมศักยภาพและเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกของทั้ง แม็คโคร และ กลุ่มโลตัสส์ เพื่อสนับสนุน SMEs และผู้ผลิตสินค้ารายย่อยของไทยผ่าน “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ที่จะจัดจำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคในระดับภูมิภาคเอเชียและสร้างการยอมรับในมาตรฐานสินค้าไทยสู่ระดับสากล ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเลือกซื้อสินค้า” นางสุชาดา กล่าว

โดยในปัจจุบัน บริษัทถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคเอเชีย โดยมี MAKRO ที่ดำเนินธุรกิจค้าส่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในทวีปเอเชียหากพิจารณาจากยอดขายรวมในปี 63 โดยธุรกิจค้าส่งของแม็คโคร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้า ซึ่งเน้นการจำหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง และสินค้าอุปโภค (Non-food products) แก่ลูกค้าที่เป็นร้านค้าปลีกรายย่อย (Food retailer) ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง (HoReCa) และผู้ประกอบธุรกิจบริการ ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 แม็คโครมีสาขาทั้งหมด 145 สาขา แบ่งเป็นสาขาในไทย 138 สาขา และต่างประเทศ 7 สาขา ได้แก่ กัมพูชา 2 สาขา อินเดีย 3 สาขา (ภายใต้แบรนด์ “LOTS Wholesale Solutions”) จีน 1 สาขา และเมียนมา 1 สาขา คิดเป็นพื้นที่ขายรวมกว่า 800,000 ตารางเมตร และ (2) ธุรกิจนำเข้า ส่งออก จำหน่ายอาหารแช่แข็งและแช่เย็นพร้อมบริการจัดส่ง (Food Service) แก่ลูกค้าหลักกลุ่มโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ร้านอาหารระดับบน โรงพยาบาล และสายการบิน

ส่วนกลุ่มโลตัสส์ ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยและมาเลเซีย โดย ณ วันที่ 28 ก.พ.64 กลุ่มโลตัสส์มีร้านค้าในประเทศไทย 2,094 แห่ง ประกอบด้วย ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 219 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 196 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต 1,679 แห่ง รวมถึงยังมีการดำเนินธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าอีก 196 แห่ง (ไม่รวมศูนย์การค้าที่ลงทุนโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท หรือ LPF รวม 23 แห่ง) โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณ 96%

นอกจากนี้ โลตัสส์ยังมีธุรกิจร้านค้าปลีกและธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศมาเลเซีย โดย ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 โลตัสส์มีสาขาทั้งหมด 62 แห่งในประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 46 แห่ง และซูเปอร์มาร์เก็ต 16 แห่ง รวมถึงมีธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า 57 แห่ง คิดเป็นพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวมประมาณ 296,000 ตารางเมตร มีอัตราเช่าพื้นที่ประมาณร้อยละ 92

ทั้งนี้ หลังจากรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ ทำให้บริษัทฯ มีธุรกิจแบบครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจค้าส่งแบบ B2B (Business to Business หรือ การค้ากับผู้ประกอบการ) ธุรกิจค้าปลีกแบบ B2C (Business to Consumer หรือ การค้ากับผู้บริโภค) และธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า ในไทยและมาเลเซีย โดยบริษัทได้วางกลยุทธ์มุ่งสร้างแพลตฟอร์มธุรกิจที่มีรูปแบบร้านค้าและช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย (omni-channel) โดยการผสมผสานระหว่างช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (offline and online หรือ O2O) เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค โดยจะมุ่งเน้นการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน เช่น กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น อินเดีย เป็นต้น ซึ่งยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก

โดยในขณะเดียวกันบริษัทจะลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบ B2B B2C และ B2B2C ซึ่งเป็น “การค้าปลีกรูปแบบใหม่” ที่มุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อสร้าง Online Ecosystem (ระบบนิเวศออนไลน์) และเชื่อมต่อระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อต่อยอดธุรกิจ ขับเคลื่อนการเติบโตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และเป็นผู้นำการจำหน่ายอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศ หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จะมุ่งเพิ่มขีดความสามารถห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างลงทุนก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่ทันสมัยในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่ใช้สอย 88,000 ตารางเมตร สามารถกระจายสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ (Order Fulfilment) และเพิ่มขีดความสามารถจัดส่งสินค้า

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การที่แม็คโครรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์ จะช่วยเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศ เสริมศักยภาพการแข่งขันกับผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งระดับโลก เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว และจะเป็นผู้ประกอบการจากประเทศไทยที่ปักธงสู่ผู้นำธุรกิจในระดับภูมิภาค โดยแม็คโครและกลุ่มโลตัสส์สามารถร่วมกันลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O ในระดับภูมิภาค โดยใช้จุดแข็งของแม็คโครที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าส่ง และกลุ่มโลตัสส์ที่เป็นผู้นำตลาดค้าปลีก ร่วมมือเติบโตไปในระดับภูมิภาค และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น

โดยแม็คโครจะได้รับผลดีจากกลุ่มโลตัสส์ที่มีพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าจำนวนมาก ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคัก ประชาชนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านและจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มโลตัสส์จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ แต่ยังคงรักษาอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 90 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากแม็คโครรับโอนกิจการกลุ่มโลตัสส์เป็นที่เรียบร้อย จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งชั้นนำระดับโลก โดยร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคในยุคดิจิทัลและลดค่าใช้จ่ายการลงทุนที่ซ้ำซ้อน

Back to top button