“สรท.” มองส่งออกปี 65 ขยายตัว 5% จากปีนี้คาดโต 12%
“สรท.” มองส่งออกปี 65 ขยายตัว 5% จากปีนี้คาดโต 12% จากฐานต่ำปี 63 รับผลกระทบวิกฤตโควิด
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก คาดการณ์ภาวะการส่งออกของไทยในปี 65 จะมีอัตราการขยายตัวที่ระดับ 5% ส่วนในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 12% เนื่องจากฐานที่ต่ำในปี 63 จากผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19
“จากการประเมินแล้วมั่นใจว่าปีนี้อยู่ในกระเป๋าแล้วอย่างน้อย 12% ส่วนในปีหน้าได้นำข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ มาประเมินแล้วคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 5% และสถานการณ์การส่งออกจะกลับคืนสู่ภาวะปกติในปีหน้าโดยสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มดี ได้แก่ ยางพารา, สิ่งทอ, ชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, พลาสติก และเคมีภัณฑ์” นายชัยชาญ กล่าว
แม้ในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.64) การส่งออกของไทยมีมูลค่ารวม 199,997.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า แต่ยังมีปัจจัยปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ 1.ค่าระวางเรือยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม อาทิ Peak Season Surcharge (PSS) ส่งผลต่อภาระต้นทุนการขนส่งสินค้าที่ผู้ส่งออกต้องจ่ายเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และปัญหา Space and Container allocation ไม่เพียงพอส่งผลให้เกิดตู้สินค้าตกค้างไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันตามกำหนด
2.ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ ชิป, เหล็ก, น้ำมัน ส่งผลให้ภาคการผลิตเพื่อส่งออก ยังคงประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลรุนแรงขึ้นในไตรมาสที่ 4 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้การส่งออกไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดการณ์
3.สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในประเทศยังคงมีตัวเลขผู้ติดเชื้อในระดับสูง ขณะที่หลายประเทศเริ่มกลับมาล็อกดาวน์จากการกลับมาระบาดของกลุ่มคลัสเตอร์ เช่น จีน สิงคโปร์ อังกฤษ รัสเชีย เป็นต้น ซึ่งแม้จำนวนผู้ติดเชื้อโดยรวมภายในประเทศไทยจะลดลงแต่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ภาคโรงงานอุตสาหกรรมต้องปรับเปลี่ยนเวลาในการทำงานเพื่อลดจำนวนพนักงานเข้าทำงานส่งผลกระทบต่อไลน์การผลิตเนื่องคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นสวนทางกับจำนวนพนักงานที่เข้าไลน์ผลิตได้บางส่วนภาครัฐต้องเร่งกระจายวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายวัคซีนสองเข็ม 50 ล้านคนภายในสิ้นปี รวมถึงแรงงานในภาคการผลิตขาดแคลนต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนการจ้างงานปรับตัวสูงขึ้น กระทบการผลิตเพื่อส่งออกที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด
4.กระบวนการทำงานภาครัฐยังไม่สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ อาทิ ความล่าช้าในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ส่งออก (Vat Refund) ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินทุนหมุนเวียนของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งออกมีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ได้แก่ 1.ด้านการตลาด อาทิ จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่โครงการ SMEs Pro-active เพื่อเพิ่มจำนวนครั้งการจัดงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ (Virtual / Onsite exhibition 2022) ให้มากขึ้น,2.ด้านต้นทุนการประกอบธุรกิจ ขยายระยะเวลาเงินช่วยเหลือลูกจ้างให้กับสถานประกอบการระดับ SMEs เช่น เงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อคน เพื่อคงสถานะการจ้างงาน,ลดต้นทุนพลังงานในประเทศ,ลดต้นทุนโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และเร่งปรับปรุงขั้นตอนการทำงานภาครัฐให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์และใช้ได้จริง
3.ด้านแรงงาน ยกระดับประสิทธิภาพแรงงาน อาทิ สนับสนุนด้านภาษีและงบประมาณฝึกอบรมให้กับแรงงานและสถานประกอบการเพื่อ Re-skill และ Up-skill ให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ และเร่งฉีดวัคซีนให้พนักงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตให้ครอบคลุมโดยเร็ว
4.ด้านสิ่งแวดล้อม คือ สร้างความตระหนักรู้แก่ภาคธุรกิจ (Carbon Emission Awareness) และเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ เพิ่มมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม
ประธาน สรท. กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาเรื่องค่าระวางเรือนั้น ที่ผ่านมา สรท.ได้พยายามขับเคลื่อนให้มีการแก้ไขปัญหา โดยประสานกับ US Federal Maritime Commission (FMC) และอังค์ถัดแล้ว และในสัปดาห์หน้าจะนำเสนอต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ทั้งนี้เพื่อให้มีการกำหนดค่าระวางเรืออย่างเป็นธรรม
ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งออกมาประท้วงเรื่องราคาน้ำมันแพงนั้น ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะหากมีการลดปริมาณขนส่งสินค้าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอย่างแน่นอน
สำหรับการเปิดประเทศนั้นจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศที่จะมาเสริมกับการส่งออก ซึ่งเป็นกลไกเพียงตัวเดียวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ที่สำคัญผู้ประกอบการต้องยึดมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด การ์ดอย่าตกเป็นอันขาด