OR ลงถึง 25 บาทไหม
นักลงทุนที่ถือหุ้น ORและมีต้นทุนสูงกว่าราคาปัจจุบันอาจกำลังตัดสินใจว่า เขาควรจะขาย “ตัดขาดทุน” ซื้อเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ย หรือถือหุ้นต่อไปดี
นักลงทุนที่ถือหุ้น OR
และมีต้นทุนสูงกว่าราคาปัจจุบัน
อาจกำลังตัดสินใจว่า เขาควรจะขาย “ตัดขาดทุน” ซื้อเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ย หรือถือหุ้นต่อไปดี
เช่นเดียวกัน นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ถือหุ้น OR ในราคาที่ต่ำกว่าปัจจุบัน
ที่มีทั้งต้นทุนราคาไอพีโอ 18.50 บาท หรือเข้าไปเก็บเมื่อวันที่ OR เริ่มซื้อขายวันแรก (ราคาลงไปต่ำสุด 22.10 บาท) และยังไม่ ได้ปล่อยออกจากพอร์ต
อาจกำลังตัดสินใจเช่นกันว่า จะขายเพื่อ “ล็อกกำไร” หรือว่าถือต่อไปดีล่ะ
ราคาหุ้น OR เมื่อวานนี้ ลงมาต่ำสุด 26.50 บาท (และเป็นราคาปิด)
หากย้อนกลับไปเมื่อวันซื้อขายวันแรก
ราคาหุ้น OR เปิดเทรดที่ราคา 26.50 บาท หรือเท่ากับราคาที่ลงมาต่ำสุดวานนี้
หากใครดูกราฟของหุ้น OR นับจากที่ซื้อขายวันแรก และมาจนถึงเมื่อวานนี้
จะเห็นว่า ทิศทางของกราฟไม่ค่อยสวย
เดิมเหมือนจะมีแนวรับบริเวณ 27.00 บาท
ทว่า จนแล้วจนรอด หลุดแนวรับจนได้
หากจะถามว่า มีปัจจัยลบอะไรบ้างที่เข้ามากดดันหุ้น OR
เริ่มจาก มาตรการปิดเมือง หรือล็อกดาวน์ เกิดการลดการเดินทาง ทำให้ส่งผลต่อยอดขายขายปลีกน้ำมัน และกลุ่มธุรกิจนอนออยล์ เช่น กาแฟ และสินค้าอื่น ๆ
ปัญหาอุทกภัย นี่เป็นปัจจัยลบด้วย
และอีกปัจจัยคือเรื่องความผันผวนของราคาน้ำมัน
ว่ากันว่า ความผันผวนของราคาน้ำมันที่ว่านี้ อาจจะไม่ค่อยส่งผลเชิงลบซักเท่าไหร่
แต่ที่มีผลมาก ๆ คือ Policy risk หรือ “ความเสี่ยงด้านนโยบาย”
อย่างล่าสุด มีคำสั่งให้ควบคุมค่าการตลาดน้ำมันดีเซลของ ปตท. (รวมถึงบางจาก BCP ด้วย)
การถูกคุมค่าการตลาด ทำให้กำไรของ OR น่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ยิ่งล่าสุดมีการประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบอาจจะถีบตัวขึ้นไปได้อีก
และอาจจะไปถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี 2565
นั่นจะยิ่งทำให้ OR น่าจะมีความเสี่ยงด้านนโยบายจากภาครัฐกดดันเข้ามา ด้วยการคุมค่าการตลาด ลากยาวไปจนต้นปี 65 หรืออาจจะถึงกลางปีหน้าเลย
ล่าสุด มีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์
กำไรไตรมาส 3/64 ของ OR น่าจะอยู่ที่ 1,800–1,900 ล้านบาท ลดลง 39% จากไตรมาสก่อนหน้า
และลดลง 45% จากไตรมาส 3/63
ส่วนไตรมาส 4/64 กำไรอาจจะทรงตัวจากไตรมาส 3/64
แม้ว่าในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ การใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดเมือง คนกลับมาเดินทาง
แต่อย่างที่บอกไปคือ “ค่าการตลาด” ถูกคุมไว้โดยภาครัฐ จึงส่งผลต่อ อัตรากำไรของ OR ที่จะลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น หากจะฝากความหวังเรื่องธุรกิจน้ำมัน
จากนี้ไปอีกราว ๆ ครึ่งปีหรืออาจจะถึง 1 ปีข้างหน้า
OR คงไม่สามารถดันตัวเองในด้านรายได้จากธุรกิจน้ำมันได้อย่างเต็มที่มากนัก
เว้นแต่จะมีดีลสำคัญ หรือ “ดีลขนาดใหญ่” กับ “ธุรกิจนอนออยล์”
นั่นอาจจะพอช่วยดันราคาของ OR ขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญ
เข้าใจว่า OR คงยังไม่พบดีลที่เหมาะสม
ส่วนนักลงทุนจะซื้อ ถือ หรือขาย เป็นเรื่องที่ให้ความเห็นที่ยากมาก
เพราะคำแนะนำของนักวิเคราะห์แต่ละโบรกฯ แตกต่างกันไปค่อนข้างมาก
ราคาเป้าหมายมีตั้งแต่ 25.00–40.00 บาท
ราคาหุ้นที่ระดับ 26.50 บาท อาจจะยังลงมาไม่ได้
และเชื่อว่า หลายคนกำลังมองแนวรับที่ระดับ 25.00 บาท
ที่เป็นระดับจิตวิทยา ว่าจะหลุดหรือเปล่า