วิตกผลประกอบการ “วอลมาร์ท” ฉุดดาวโจนส์ปิดร่วง 157 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (14 ต.ค.) หลังจากวอลมาร์ท สโตร์ อิงค์ ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐประกาศปรับลดแนวโน้มยอดขายในปีนี้ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยรายได้ปรับตัวลดลงในไตรมาส 3 นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (14 ต.ค.) ที่ 16,924.75 จุด ร่วงลง 157.14 จุด หรือ -0.92% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,782.85 จุด ลดลง 13.76 จุด หรือ -0.29% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,994.24 จุด ลดลง 9.45 จุด หรือ -0.47%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอย่างวอลมาร์ท สโตร์ อิงค์ โดยวอลมาร์ทปรับลดแนวโน้มยอดขายในปีนี้ และระบุว่า การที่ทางบริษัททำการลงทุนในวงเงินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในระบบดิจิตอล จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปีหน้า อีกทั้งคาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ วอลมาร์ทคาดว่ากำไรต่อหุ้นจะลดลง 6%-12% ในปีงบการเงินต่อไป ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 4.73 ดอลลาร์ในปีงบการเงิน 2017 สูงกว่าระดับ 4.54 ดอลลาร์ที่คาดไว้สำหรับปี 2016

ด้านเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ เปิดเผยว่ารายได้ในไตรมาส 3 ลดลงสู่ระดับ 2.354 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องธนาคารยังต้องเผชิญกับภาวะผันผวนในตลาด และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน ตลาดได้รับแรงกดดันจากรายงาน Beige Book ของเฟดซึ่งระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของสหรัฐมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงกลางเดือนส.ค.จนถึงต้นเดือนต.ค. เนื่องจากกิจกรรมภาคการผลิตได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์

นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงเมื่อคืนนี้ด้วย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ร่วงลง 0.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ อันเนื่องมาจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน และดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวผันผวน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 2.53% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ลดลงในไตรมาส 3 ขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ขยับขึ้น 0.77% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไร 4.51 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 หรือ 37 เซนต์ต่อหุ้น เทียบกับที่ขาดทุน 232 ล้านดอลลาร์ หรือ 4 เซนต์ต่อหุ้น ส่วนหุ้นธนาคารเวลล์ ฟาร์โก ปรับลง 0.7% แม้ว่าธนาคารเปิดเผยกำไรพุ่งขึ้นสู่ระดับ 5.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 หรือ 1.05 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อเทียบกับระดับ 5.73 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.02 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของวอลมาร์ท โดยหุ้นวอลมาร์ทร่วงลงราว 10% หุ้นทาร์เก็ต ร่วงลง 3.5% หุ้นเซียร์ส ดิ่งลง 3% หุ้นโกรเซอร์ โครเกอร์ ร่วงลง 3% และหุ้นเบสท์บาย ดิ่งลงกว่า 3.5% ขณะที่ดัชนีกลุ่มค้าปลีกที่คำนวณใน S&P500 ปรับลง 1.2% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ดีดตัวขึ้น 1.8% หลังจากเดลต้าระบุว่า ทางสายการบินมีกำไร 1.32 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นจากระดับ 357 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.65 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นจากระดับ 42 เซนต์ในปีที่แล้ว

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย. ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) เดือนต.ค.ผลการสำรวจภาวะธุรกิจเดือนต.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย ส่วนในวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเงินทุนไหลเข้าและยอดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติเดือนส.ค. การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

Back to top button