เจ็บแล้วต้องจำ
ถ้าอิงตัวเลขจากความต้องการแรงงานต่างด้าวที่มีมากถึงห้าแสนคน ย่อมเป็นตัวเลขที่อาจทำให้ระบบป่วนหนัก หากเกิดแอ๊กซิเด็นท์บางอย่างขึ้นมาเจ้าค่ะ
*ประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” กังวลมากที่สุดในช่วงเปิดประเทศเต็มตัวนั้น ไม่ใช่ความสามารถในการปั้นกำไรของบริษัทจดทะเบียน และไม่ใช่ปัญหาการเมืองที่มีการสาดโคลนอย่างหนัก แต่เป็นเรื่องของแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายทะลักเข้าไทยต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก และถ้าอิงตัวเลขจากความต้องการแรงงานต่างด้าวที่มีมากถึงห้าแสนคน ย่อมเป็นตัวเลขที่อาจทำให้ระบบป่วนหนัก หากเกิดแอ๊กซิเด็นท์บางอย่างขึ้นมาเจ้าค่ะ
*ตรงนี้เป็นจุดเสี่ยงที่ทำให้คนในวงการหลายรายเกาหัวแกรก ๆ เพราะอาจนำไปสู่การระบาดใหญ่ในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นจังหวะที่เปิดให้กินดื่มแบบเต็มคราบ ผนวกกับทุกคนเคยเห็นคลัสเตอร์ในหลายรูปแบบกันมาแล้ว “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่การเปิดเมืองเที่ยวนี้ไม่มีพลังมากพอที่จะขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย เพราะมองไปทางไหน ด้านไหน ก็เต็มไปด้วยสารพันปัญหา ซึ่งชี้ให้เห็นการบริหารจัดการที่โหลยโท่ยของคนในรัฐบาลไงล่ะจ๊ะ
*ที่น่าสนใจมากสุดคือ สถานการณ์ที่เคยคิดว่าจะดี เอาเข้าจริงกลับมีเรื่องแย่ ๆ ปะทุขึ้นรายวัน “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่วานนี้ดัชนีแกว่งตัวออกด้านข้างเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาดันดัชนีในช่วงบ่าย จนดัชนียืนปิดที่ระดับ 1,631.69 จุด บวกไป 5.56 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.19 หมื่นล้านบาท มันเป็นภาพที่แตกต่างจากวันก่อนตรงไหน? และเชื่ออย่างสนิทใจได้อย่างไรว่า ดัชนีจะไปต่อสวย ๆ เพราะของมันเคยโดนกับตัวมาแล้วหลายรอบ..อิอิอิ
*งานนี้ไม่ได้บอกให้กลัว และไม่ได้บอกให้ถอย แต่ต้องการให้ลงทุนอย่างมีแผน เพราะอาการตื้อ ๆ ตัน ๆ ท่ามกลางความหวังลม ๆ แล้ง ๆ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปสำหรับการเล่นหุ้นรอบนี้ และเรื่องนี้เห็นได้จากหุ้นบลูชิพแตะยอดเดิมได้ไม่ทันไร วันถัดมาราคาหุ้นก็ร่วงทันที เดี๊ยนถึงเกิดอาการระแวงมากกว่าเดิมหลายเท่า จึงอยากให้แฟน ๆ ประเมินว่า สิ่งที่เม้าท์ให้ฟังน่าเชื่อถือขนาดไหนพะยะค่ะ
*โดยเฉพาะการขึ้นมาแตะยอดเดิมที่บริเวณ 68 บาทของหุ้นลูกอ๊อด AOT ต่อจากนั้นก็ถูกรินขายออกมาเรื่อย ๆ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่นักเล่นต้องทำความเข้าใจมากเป็นพิเศษว่า ในมุมของพื้นฐานถือว่าโอเว่อร์ แต่ในมุมของอนาคตถือว่าไปได้ จึงเป็นเกมชักเย่อระหว่างความคิดของนักเล่น และไม่ขอคอมเมนต์การยืนปิดที่ระดับ 67 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.79 พันล้านบาทเจ้าค่ะ
*เหมือนกับสถานการณ์ของปูนใหญ่ SCC ซึ่งอยู่ในลักษณะแกว่งตัวลงเป็นแรมเดือน แต่โชคดีที่ยังเกาะแนวรับ 390 บาทอย่างเหนียวแน่น จึงดูเหมือนว่า หุ้นกำลังรอเวลาผงกหัวขึ้น แต่ในสถานการณ์ที่ผลประกอบการออกมาไม่ได้เรื่อง และยังต้องลุ้นผลงานไตรมาส 4 จะดีขนาดไหน? เดี๊ยนเลยมองราคาปิดที่ 396 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 0.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.18 พันล้านบาทเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเหมือนกันจ้า!
*ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเหลือบมองหุ้น KEX อย่างรวดเร็ว เพราะการเด้งกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 36 บาท บวกไป 2.75 บาท หรือขึ้นไป 8.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 672 ล้านบาทแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่โบรกเกอร์มองธุรกิจยังชะลอตัว จึงกลายเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะในมุมของการเทรดบน PE 44 เท่า ท่ามกลางความไม่ชัดเจนในการกลับมาทำกำไรอย่างแข็งแกร่งแบบนี้.. “เสี่ยง” หรือ “ไม่เสี่ยง” ลองไปคิดกันดูนะคะ
*คล้ายกับกรณีของหุ้น JWD ถูกดันขึ้นมาปิดที่ระดับ 15.80 บาท บวกไป 0.80 บาท หรือขึ้นไป 5.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 292 ล้านบาท ท่ามกลางยอดเก่าที่ทำไว้แถว 17 บาท กลายเป็นเรื่องที่นักเล่นต้องประเมินสถานการณ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะไม่รู้ว่า เที่ยวนี้จะไปได้ไกลขนาดไหน? ขนาดรอบก่อนโบรกเกอร์ให้เป้าไว้แถว 23 บาท ก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันสักที เดี๊ยนเลยไม่อยากเสนอความคิดอะไรเพิ่มเติมไงล่ะคะ
*อีกรายที่ต้องประเมินให้ถี่ถ้วนสักหน่อย คงมองไปที่หุ้นร้อน KK หลังทะยานขึ้นมาปิดที่ 3.78 บาท บวกไป 0.60 บาท หรือขึ้นไป 18.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 206 ล้านบาท พร้อมกับปรากฏแท่งเทียนสีเขียวโดเด่ และยังขึ้นไปแตะยอดเดิมบริเวณ 4 บาทในระหว่างวัน แต่สุดท้ายยืนระยะไม่ได้ จึงม้วนหางกลับลงมาแบบนี้ “โมนิก้า” เดาเกมไม่ออกเหมือนกันว่า วันนี้เจ้ามือจะซัดขวายาว ๆ เพื่อเรียกมวลชนให้กลับมาเล่นอีกรอบหรือเปล่า?