KSAM ขายกองทุน KFFAI3M10ประมาณการผลตอบแทน 2%ต่อปี

บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 3M10 (KFFAI3M10) อายุประมาณ 3 เดือน เสนอขายตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2558 เหมาะกับนักลงทุนที่มิใช่รายย่อยและผู้ที่มีเงินลงทุนสูง ลงทุนขั้นต่ำ 510,000 บาท ประมาณการผลตอบแทน 2% ต่อปี


นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด(บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า บริษัทเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 3M10(KFFAI3M10) อายุประมาณ 3เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน , มาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Akbank T.A.S. (ตุรกี) สัดส่วนการลงทุน 15% ตราสารหนี้ GMTN ออกโดยธนาคาร Isbank (ตุรกี) สัดส่วนการลงทุน 15% ตราสารหนี้ GMTN ออกโดยธนาคาร Vakifbank (ตุรกี) สัดส่วนการลงทุน 15% และตราสารหนี้ GMTN ออกโดยธนาคาร Yapi Kredit bank (ตุรกี) สัดส่วนการลงทุน 15% ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน

โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2%ต่อปี (ประมาณการค่าใช้จ่ายของกองทุนที่ 0.18ต่อปีของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป”

สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้โลกนั้น อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้น 0.00 – 0.10% โดยที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ทางด้านธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกในปีนี้ลง 0.2% สู่ 6.5% เพื่อให้สะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ในขณะที่ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในปีนี้ลง 0.2% สู่ 4% และปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลง 0.2% สู่ 3.1% ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลง 0.01 – 0.14% โดยที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวลดลงมากกว่าอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้น โดยได้แรงหนุนจากกระแสเงินลงทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ

 

 

Back to top button