โบรกฯเชียร์ซื้อ JMT อัพเป้า 62.25 บ. เล็งปีนี้หนี้ลงทุน 7.1 พันลบ.-เงินสดเรียกเก็บนิวไฮ

“เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” มอง JMT ท็อปพิคกลุ่มบริหารหนี้ฯ ธุรกิจโตเด่น โชว์กำไรไตรมาส 3/64 แกร่ง ลุ้นทั้งปีกำไร “นิวไฮ” ต่อเนื่อง ปริมาณหนี้ลงทุน-เงินสดเรียกเก็บเพิ่มสูง แนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 62.25 บ.


บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 พ.ย.64)  ประเมินเกี่ยวกับหุ้น บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT หลังรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ที่ 352 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ 10% จากธุรกิจบริหารหนี้ตามยอดเก็บเงินสุด 1,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่ม 26% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากที่มองไว้เพียงทรงตั๋วเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับการเร่งติดตามหนี้ในช่วงเดือนก.ย. 2564 ที่ผ่านมามีการทยอยเปิดเมือง ทำให้คุณภาพลูกหนี้พื้นตัว ควบคุกับประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ของบริษัท การเพิ่มขึ้นของกองหนี้ที่ตัดต้นทุนหมดอีก ปลายไตรมาส 2 ปี 2564 ทำให้อัตรากำไรสุทธิ (NPM) สูงขึ้นเล็กน้อยที่ 37% เพิ่มขึ้น 160% ขณะมีรับรู้ผล 6 พันล้านบาท รับรู้เข้ามาตั้งแต่ขาดทุนจากธุรกิจประกันเข้ามา 10 ล้านบาท จากยอดเคลมประกัน COVID-19 ประเภท เจอ จ่าย จบ (ปัจจุบันที่เหลืออีกไม่มากถึงต้นปีหน้า)

อย่างไรก็ดีสิ่งน่าสนใจมากกว่ากำไรสุทธิที่เกิดขึ้น คือ 1) ปริมาณหนี้ลงทุน 7,113 ล้านบาท ส่วนใน 9 เดือนแรกของปี 2564 สูงกว่าเป้าหมายที่เคยให้ไว้ 6 พันล้านบาท มากสุดในอุตสาหกรรมและเป็นสถิติใหม่ของบริษัท เป็นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในปีหน้า 2) เงินสดเรียกเก็บที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2564 ที่มีการล๊อคดาวน์แต่ยังดีกว่าคาดถึง 25% สะท้อนถึงความสามารถในการเจรจาประนอมหนี้แม้ในช่วงยากลำบาก

นอกจากนี้การลงทุนและเก็บหนี้ที่ทำได้ดีกว่าแผนเดิม มีโอกาสที่จะเห็นยอดเก็บเงินสดในปี 2565 อาจถึงระดับ 6,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หรือเฉลี่ย 1,500 ล้านบาทต่อไตรมาสทำให้ตลาดอาจต้องทบทวนประมาณการกำไรปี 2564-2565 ขึ้นอีกราว 10-20% มาใกล้เคียงกับที่มองไว้ระดับ 1.4 และ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% และเพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ

อีกทั้งเพื่อสะท้อนความน่าจะเป็นของการเติบโตที่สูงขึ้นใน 12 เดือนข้างหน้า ทางนักวิเคราะห์ปรับราคาเหมาะสมปี 2565 ขึ้น เพิ่ม 8% เป็น 62.25 บาทต่อหุ้น อิงวิธีปรับใช้ค่า P/E ของปี 2565 จาก 32.5 เท่า เป็น 35 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สะท้อนการเติบโตของกำไรต่อหุ้นหลังการเพิ่มทุน (Fully Diluted EPS) ในปีหน้า และเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า เท่ากับ 37% และ 43% ตามลำดับ

 

 

 

 

 

Back to top button