คำร้องประชาชน

ปัญหาที่หมักหมมมาจากมาตรการล็อก-ดาวน์ประเทศ อันเนื่องมาแต่การแพร่ระบาด ก็เริ่มปะทุขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นข้อเรียกร้องต่าง ๆ


พักนี้ รัฐบาลออก “อีเวนต์” ถี่ บรรยากาศคล้ายกับเตรียมตัวจะไปเลือกตั้งในวันนี้วันพรุ่ง แต่ขณะเดียวกัน ปัญหาที่หมักหมมมาจากมาตรการล็อก-ดาวน์ประเทศ อันเนื่องมาแต่การแพร่ระบาด ก็เริ่มปะทุขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นข้อเรียกร้องต่าง ๆ

ยิ่งรัฐบาลเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นมา ก็ยิ่งมีคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังมากขึ้น คือ คนส่วนน้อยได้เดินไปข้างหน้า แต่คนส่วนมากกลายเป็นคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

กลุ่มธุรกิจที่ยังคงถูกทิ้งไว้ข้างหลังกลุ่มหนึ่งก็คือธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์จำพวกผับบาร์ ซึ่งตั้งความหวังว่าจะได้เปิดสักทีในวันที่ 1 ธ.ค. ถัดจากวันเปิดประเทศมา 1 เดือน เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาลั่นวาจาให้สัญญาไว้

แต่แล้ว “ฝันสลาย” ศบค.สั่งเลื่อนไปเปิดเอาในวันที่ 15 ม.ค.ปีหน้า นายกรัฐมนตรี พล..ประยุทธ์ ที่เคยประกาศให้ความหวังเอาไว้ ก็กลับคำ อ้างมาตรการป้องกันทางสาธารณสุข ยังไม่เรียบร้อย

เฮ้อ! เป็นอันว่า สิ่งที่คนในอาชีพเอนเตอร์เทนเมนท์รอคอยมานาน 15 เดือน ในที่สุดก็ต้องร้องเพลง “รอ” กันต่อไป ที่ตายก็ตายไป ส่วนที่อยู่ก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดกันต่อไป

แล้ว 15 มกราฯ ปีหน้า มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่เลื่อนอีก

คำว่า “มาตรการทางสาธารณสุขยังไม่เรียบร้อย” น่ะ รูปธรรมความเรียบร้อยจะเป็นอย่างไร มีแบบสำเร็จให้ยึดถือปฏิบัติได้ไหม ถ้าสถานประกอบการเขาทำได้ ก็ให้เขาเปิดผับเปิดบาร์ไปสิ มัวรออะไรอยู่ รัฐบาลจะทรมานพวกเขาไปถึงไหน

เช่น ถ้ากำหนดว่า ผู้เข้าใช้บริการ ต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน 2 เข็มเพิ่ม นอกเหนือจากการมาตรการพื้นฐานทั่วไปเช่น การวัดไข้ ล้างมือ จัดระยะห่างโต๊ะ และจำกัดจำนวนคนอย่างเนี้ย จะถือเป็นมาตรการที่เรียบร้อยพอใช้ได้นะ

อะไรที่พอจะช่วยคนไม่ให้อดตาย ถ้าทำได้ก็จงเร่งทำเถิด จะปล่อยเนิ่นนานให้ทุกข์ทรมานกันต่อไปทำไม นายกฯ ชอบพูดนักว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่นี่ไง “คนกลางคืน” ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยนายกฯ เอง

เรื่องที่ 2 อันแผดร้อน นั่นก็คือข้อเรียกร้องของสหพันธ์การขนส่งทางบก (รถบรรทุก) ที่เรียกร้องให้ลดราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกดีเซลลงมาเหลือลิตรละ 25 บาท แสดงพลัง “ทรัค เพาเวอร์” มา 2 ครั้งแล้ว

“ทรัค เพาเวอร์” ครั้งที่ 3 ยืนยันจะมีการยกระดับในวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งอาจใช้รูปแบบ “เยอรมัน โมเดล” คือเติมน้ำมันแค่

20 ลิตร น้ำมันหมดลงตรงไหนก็จอดกันตรงนั้นเลย

รัฐบาลยังคงยืนกรานนโยบายตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาท ไม่ลดราวาศอกหรือแม้กระทั่ง “พบกันครึ่งทาง” แม้แต่น้อยเลย ในขณะที่ตัวเองก็มีจุดอ่อนอยู่ 2 เรื่อง นั่นคืออัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และนโยบายพลังงานชีวภาพทั้งไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์

ซึ่งทำให้น้ำมันมีราคาแพงเกินจริง

สมาพันธ์ฯ ก็รู้เท่าทันรัฐบาลนะ เขาเสนอให้ปรับลดตัวภาษีสรรพสามิตใกล้เคียง 6 บาทลงมา และเลิกผสมน้ำมันปาล์มดิบที่มีราคาแพงกว่าลงไปในน้ำมันดีเซลที่มีราคาถูกกว่าเป็นการชั่วคราว

ราคาน้ำมันไบโอดีเซลบี100 ขณะนี้ ปาเข้าไปลิตรละ 47.11 บาท หากผสมเป็น B10 ก็เท่ากับน้ำมันดีเซลมีราคาแพงขึ้น 4.711 บาท หากผสมเป็น B20 ก็ยิ่งแพงขึ้นอีกลิตรละ 9.42 บาท

ถ้าลดสัดส่วนไบโอดีเซลเป็นบี3 หรือบี5 ลงมา หรือหากไม่ผสมเป็นไบโอ 0 เลย ราคาน้ำมันก็จะลดลงมาได้มาก แต่ก็นั่นแหละนโยบายไบโอดีเซลสัดส่วนสูง ได้กลายเป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลไปแล้ว คงเลิกยาก

แต่วิงวอนขอรัฐบาลให้มองถึงความเหมาะสมพอดี ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ฟื้นตัวหลังโควิดสักหน่อยเถอะ

หากจะลดราคาน้ำมันดีเซลลงมาลิตรละ 5 บาท ผมว่าทำได้โดยไม่เหลือวิสัยครับ ไม่ต้องหั่นภาษีมาทั้งหมดก็ได้ เอามาแค่ 3 บาท และอีก 2 บาท เอามาจากการลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลลงมาเป็นบี4-บี5 ก็สามารถลดได้ 5 บาทสบาย

พูดตามตรงนะครับ การเผาไหม้ของน้ำมันไบโอดีเซล ไม่หมดจดสักเท่าไหร่หรอก ควันดำจึงมากกว่าปกติ อัตราเร่งก็ต่ำ แต่ก็เห็นเป็นนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรที่ทุกรัฐบาลปฏิบัติสืบต่อกันมา จึงหยวน ๆ กันไป แต่ยามนี้เป็นสถานการณ์ไม่ปกติ จึงควรพิจารณาทบทวนเรื่องราคาให้มีความพอเหมาะพอควรลงมาบ้าง

ท่าทีนายวสุเชษฐ์ โสภณเสถียร นายกสมาคม 10 ล้อ ก็ไม่ถึงกับยืนกรานราคา 25 บาทขาดตัวนี่ ยังให้สัมภาษณ์ “หมาแก่” เจาะลึกทั่วไทยว่า 25 บาท ตั้งเป็นโจทย์ราคา ส่วนจะต่อรองกันเท่าไหร่ ยังเจรจากันได้

งานนี้ หวังว่าคงไม่ถึงกับต้องเอาทหารออกมาขับรถ เหมือนให้ทหารมาปลูกผักชีอีกเลย

Back to top button