CV แย้ม Q4 สดใส ตุนแบ็กล็อกแน่น 2.8 พันลบ. ลุ้นปี 65 โตต่อรับแผน COD เพิ่ม-ต้นทุนลด
CV คาดว่าผลงานไตรมาส 4/2564 ฉายแววสดใสหลังมี Backlog ล้นมือกว่า 2,795 ลบ. พร้อมคาดปี 65 จะเติบโตหลังจากเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโครงการต่าง ๆ รวมถึงต้นทุนในธุรกิจเชื้อเพลิงลดลง
นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV เปิดเผยว่าบริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในปี 65 จะเติบโตมากกว่าปีนี้จากกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้น เช่น โครงการโซลาร์รูฟท็อปกำลังการผลิต 8.50 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก 3 โครงการกำลังการผลิต 20-24 เมกะวัตต์จากปี 64 อยู่ที่ 33.56 เมกะวัตต์
อีกทั้งปัจจุบันบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นร่วมกับพันธมิตรในประเทศไทย ใน 3 โลเคชั่น รวม 120 เมกะวัตต์ ซึ่งจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 67-68 คาดว่าจะเข้ามาสนับสนุนกำลังผลิตไฟฟ้าให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ราว 180 เมกะวัตต์
ด้านธุรกิจผลิตชีวมวลอัดเม็ด (wood pellets) ที่ประเทศเวียดนาม ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการซื้อกิจการ (M&A)หลายโครงการเพิ่มเติม จากปัจจุบันมีโครงการที่ได้เซ็นสัญญาไปแล้วจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิต 240,000 ตันต่อปี และมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 940,000 ตันต่อปี คาดจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 68
ส่วนธุรกิจผลิตเชื้อเพลิง บริษัทฯ ก่อตั้งมาเพื่อรองรับการผลิตเพื่อใช้เองในโครงการโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นราว 60-70% เพื่อเป็นการลดต้นทุน และอีกประมาณ 30-40% ที่จะผลิตขึ้นในอนาคต จะเป็นส่วนที่ผลิตเพื่อขายให้กับลูกค้าภายนอก มองว่าในอนาคตธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงจะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ขณะที่ธุรกิจบริหารจัดการพลังงาน (ESCO Utility) ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 0.5-1 เมกะวัตต์ ทั้งรูปแบบไอน้ำและไฟฟ้า โดยใช้งบลงทุนไม่สูงมากนัก และมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า เพื่อติดตั้งให้กับโรงงานของลูกค้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 2 โครงการ และคาดว่าในช่วง 3-4 ข้างหน้า ธุรกิจนี้จะมีการเติบโตได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 4/64 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากจะมีรายได้ของโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 290 ล้านบาท เพิ่มเข้ามาอีกราว 100 ล้านบาท และยังมีงานในมือ (Backlog) จากธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (Valued EPC) ประมาณ 2,795 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจย่อย ได้แก่ การก่อสร้างโรงไฟฟ้า (Renewable Energy) 896 ล้านบาท, การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน (energy conservation) 82 ล้านบาท, ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป (General construction) 1,787 ล้านบาท และธุรกิจ MODULAR 30 ล้านบาท
นอกจากนี้ในกลุ่มเชื้อเพลิง บริษัทฯ จะมีธุรกิจใหม่ที่จะเริ่มในปีนี้ ได้แก่ การขายเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ที่ได้รับออเดอร์มาแล้ว และอยู่ระหว่างรอส่งมอบซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้เข้ามาให้แก่บริษัทในปีนี้ราว 100 ล้านบาท และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การเติบโตในปี 65 ให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่าปีนี