MGT บวกแรง 6% ลุ้นผลงานไตรมาส 4 โตต่อเนื่อง-คงเป้ายอดขายปีนี้แตะ 960 ลบ.

MGT บวกแรง 6% ลุ้นผลงานไตรมาส 4 โตต่อเนื่อง-คงเป้ายอดขายปีนี้แตะ 960 ลบ. แนะซื้อเป้า 4.88 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(29พ.ย.2564)  ราคาหุ้นบริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT ณ เวลา 11:01 น. อยู่ที่ระดับ 3.98 บาท บวก0.24 บาท หรือ 6.42% ราคาสูงสุด 4.06 บาท ราคาต่ำสุด 3.82 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 87.89 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้(11พ.ย.64) ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MGT กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 4/2564 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากบริษัท กรีน ลีฟ เคมิคอล จำกัด เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก หลังจากที่เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 55% คาดปีนี้จะมียอดขายโดยเฉลี่ยประมาณ 150-170 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่เติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายปีนี้จะมียอดขายเติบโตประมาณ 960 ล้านบาทโดยเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน รวมถึงยังมีการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ และมีแผนที่จะทำดีลควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่องในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22  ล้านบาท หลังจากที่มียอดขายเพิ่มขึ้น และมีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีรายได้จากการขายสินค้า 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จาการขายสินค้า 166  ล้านบาท โดยมาจากการขายที่เพิ่มของบริษัท และบริษัทในเครือ

ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 88 ล้านบาท ลดลงประมาณ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท เนื่องจากได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเกี่ยวกับการปิดกิจการของบริษัทร่วมในปี 2563และมีรายได้จากการขายสินค้า 682  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายสินค้า 595 ล้านบาท โดยมาจากการขายที่เพิ่มขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGS CIMB เปิดเผยว่า ได้ทำ Stock Screening หุ้นในตลาด SET และ MAI โดยใช้เกณฑ์ 1. รายได้มีการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  2. กำไรมีการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  โดยใช้ข้อมูลจาก SET ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทรวม 839 แห่ง

โดยผลการศึกษาออกมาว่ามีเพียงหุ้นแค่ 24 บริษัท หรือคิดเป็นประมาณ 3% ที่มีทั้งรายได้และกำไรเติบโตได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยนอกจากจะพิจารณาผลกำไรย้อนหลัง 3 ปีแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคตด้วย และระดับ P/E ไม่สูงจนเกินไป (P/E ณ วันที่ 17 พ.ย. 2564) เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมของแต่ละบริษัท ซึ่งจากฐานข้อมูลของ Bloomberg consensus และ IAA consensus สามารถเลือกหุ้นที่น่าสนใจและยังมีอัพไซด์สูงจากราคาเป้าหมายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้ (เรียงจากอัพไซด์มากไปน้อย)

บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT มีอัพไซด์ 46% จาก ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.88 บาท (P/E ที่ 13.82),บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH มีอัพไซด์ 31% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 26.19 บาท (P/E ที่ 10.69),บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP มีอัพไซด์ 23% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 17 บาท (P/E ที่ 16.43),บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL มีอัพไซด์ 21% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.70 บาท (P/E ที่ 12.23)บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD มีอัพไซด์ 21% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 76.68 บาท (P/E ที่ 19.04),บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีอัพไซด์ 20% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 90.58 บาท (P/E ที่ 27.8),

บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG มีอัพไซด์ 19% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.39 บาท (P/E ที่ 15.22),บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS มีอัพไซด์ 17% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 231.67 บาท (P/E ที่ 12.19),บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ STANLY มีอัพไซด์ 16% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 204 บาท (P/E ที่ 8.21),บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC มีอัพไซด์ 14% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 68.34 บาท (P/E ที่ 24.7) และบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 มีอัพไซด์ 13% จากราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 85.06 บาท (P/E ที่ 39.75)

 

Back to top button