GGC จ่อเซ็นสัญญาร่วม “NatureWorks” ลุย “นครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์” เฟส 2 ธ.ค.นี้

GGC เตรียมเซ็นสัญญา “NatureWorks” เข้าลงทุนในโครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 2 ธ.ค.นี้ มูลค่าการลงทุนรวม 1,430 ล้านบาท ร่วมกับพันธมิตรหลักอีกราย “KTIS” คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ต้นปี 2567


นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเซ็นสัญญากับบริษัท NatureWorks ของสหรัฐฯ ผู้ผลิต PLA รายใหญ่อันดับ 1 ของโลกในเดือนธ.ค.นี้ เพื่อเข้ามาลงทุนในโครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhonsawan Biocomplex : NBC) เฟส 2

โดยภายหลังจากเซ็นสัญญาแล้วบริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 2 มูลค่าการลงทุนรวม 1,430 ล้านบาท ร่วมกับพันธมิตรหลักอีกรายคือ กลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ต้นปี 2567 เพื่อให้ทันกับแผนการดำเนินงานของ NatureWorks ที่จะเริ่มใช้งานในไตรมาส 3/2567

ขณะที่โครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 1 ยังคงกำหนดการเริ่มผลิตเอทานอลได้ในช่วงกลาง-ปลายไตรมาส 1/2565 ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ก็ได้มีการเตรียมตัวติดต่อกับผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 (ผู้ค้าน้ำมันที่มีปริมาณการค้าแต่ละชนิด หรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่หนึ่งแสนเมตริกตันขึ้นไป หรือเป็นผู้ค้าน้ำมันชนิดก๊าซปิโตรเลียมเหลวแต่เพียงชนิดเดียวที่มีปริมาณการค้าปีละตั้งแต่ห้าหมื่นเมตริกตันขึ้นไป ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี) รวมถึงได้รับความร่วมมือกับ KTIS ทำให้มั่นใจว่าแผนการตลาดน่าจะเป็นไปตามที่คาดหวังไว้

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่าน่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2564 จากราคาวัตถุดิบผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ปรับตัวลดลงจากปีนี้ โดยมองราคาน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ (CPKO) ในตลาดต่างประเทศ มีแนวโน้มต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของปี 64 เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น จากการคลี่คลายปัญหาด้านแรงงานของประเทศมาเลเซียที่ไม่สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวในปีนี้ได้ รวมถึงการปรับตัวลดลงของราคาวัตถุดิบผลิตภัณฑ์รีไฟน์กลีเซอรีน (Refined Glycerin) ด้วย แต่บริษัทฯ จะพยายามผลักดันให้ยอดขายสูงขึ้น

ส่วนปีนี้คาดผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน หลัง 9 เดือนสามารถทำกำไรสุทธิได้ค่อนข้างดี มาอยู่ที่ 417.89 ล้านบาท จากปีก่อนทั้งปีที่มีกำไร 560.14 ล้านบาท ขณะที่รายได้อยู่ที่ 14,791.63 ล้านบาท จากทั้งปีก่อนอยู่ที่ 18,261.85 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4/2564 ก็คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้าได้ จากการบริหาร Inventory ได้ดี อีกทั้งภาพรวมตลาดไบโอดีเซล โดย CPO Outlook การสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ และปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มของภาคขนส่ง คาดว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น จากการเปิดประเทศ

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยอมรับว่าอาจได้รับผลกระทบบางส่วนจากการปรับลดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้มีสัดส่วนผสมเดียว คือ B7 ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2564 ถึง 31 มี.ค.2565 รวมถึงการคงค่าการตลาดกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.40 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาดีเซลคงอยู่ที่ 28 บาท/ลิตร แต่คาดว่าการเปิดประเทศที่ทำให้ความต้องการใช้ดีเซลเพิ่มจะสามารถชดเชยกับดีมานด์ที่หายไปได้ อีกทั้งราคาน้ำมันปาล์มดิบในต่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นผลมาจากการขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวผลผลิต

ด้านผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ ราคาวัตถุดิบคือน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ (CPKO) ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ยังมี Stock gain ขณะที่ความต้องการ CPKO ก็ปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะในจีนและอินเดีย ขณะที่ราคาวัตถุดิบผลิตภัณฑ์รีไฟน์กลีเซอรีน (Refined Glycerin) ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก โดยปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 10 ปี ทำให้ส่งผลบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ประกอบกับความต้องการก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน จากการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม Pharmaceutical และ Hygienic

Back to top button