พาราสาวะถี
จากเลื่อนไป 1 สัปดาห์กลายเป็นเลื่อนไม่มีกำหนด ปัญหาที่แท้จริงของการเลื่อนเช่นนี้มีอยู่ประการเดียวคือความไม่ลงรอยกันภายในพรรคแกนนำรัฐบาลเอง
จากเลื่อนไป 1 สัปดาห์กลายเป็นเลื่อนไม่มีกำหนด สำหรับวงสังสรรค์ของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจส่งเทียบเชิญไปก่อนหน้า ด้วยเหตุผลเดิมส.ส.มีภารกิจในการประชุมสภา ซึ่งใครฟังดูแล้วก็ไร้น้ำหนักเป็นอย่างยิ่ง ปัญหาที่แท้จริงของการเลื่อนเช่นนี้มีอยู่ประการเดียวคือความไม่ลงรอยกันภายในพรรคแกนนำรัฐบาลเอง รวมไปถึงคู่ขัดแย้งสำคัญ ธรรมนัส พรหมเผ่า กับ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ
ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหาภายในแก๊ง 3 ป.แม้พี่ใหญ่จะยืนยันมีแต่ความตายเท่านั้นที่จะมาพรากความรักที่ตัวเองมีต่อน้องเล็กได้ เพราะผูกพันกันมากว่า 40 ปี แต่คำพูดคนจะปั้นแต่งให้สวยหรูยังไงก็ได้ สิ่งสำคัญมันต้องดูที่พฤติกรรม อันจะเห็นได้ชัดว่าทันทีทันใดที่หัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจประกาศเลื่อนนัดหมายพบปะของพรรคร่วมรัฐบาลออกไป ก็ปรากฏข่าวกลุ่มสามมิตรจะย้ายกลับพรรคเพื่อไทย พร้อม ๆ กับก๊วนของ วิรัช รัตนเศรษฐ จะยกกลุ่มไปเข้าคอกภูมิใจไทย
แม้ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะส่ายหัวและเดินจากโพเดียมทันทีที่ถูกนักข่าวถามถึงประเด็นนี้ ก่อนจะตามมาด้วยประโยคที่ว่า “ไม่มี เป็นการปล่อยข่าว เพียงแค่ปล่อยข่าวออกมาเท่านั้นเอง” คำถามคือแล้วใครกันเป็นคนปล่อย หากพิจารณาจากท่าทีของกลุ่มสามมิตรในระยะหลังจะเห็นได้ชัดว่าแนบแน่นอยู่กับท่านผู้นำ ไม่สุงสิงกับระดับนำภายในพรรคสืบทอดอำนาจ ดังนั้น หากจะเกิดการย้ายพรรคเกิดขึ้นจึงไม่น่าจะเป็นการกลับบ้านเก่า แต่มีความเป็นไปได้ที่จะไปอยู่บ้านหลังใหม่มากกว่า
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า กระแสข่าวเรื่องพรรคสำรองหรือพรรคใหม่ของน้องเล็กกับพี่รองแก๊ง 3 ป.ยังไม่หายไปไหน ทั้งที่พี่ใหญ่และคนในพรรคสืบทอดอำนาจต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังคงสนับสนุนให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคต่อไป แต่ทั้งสองพี่น้องก็ยังไม่วางใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ เสียงที่บอกว่าพร้อมหนุนถ้ากระแสยังไม่ดีขึ้นยังคงจะไว้วางใจกันเหมือนเดิมหรือเปล่า
ขณะเดียวกัน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวของธรรมนัสไปแล้ว ไม่ว่าพี่ใหญ่จะไว้วางใจกันอย่างไร แต่สำหรับท่านผู้นำไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไป นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่างานเลี้ยงสังสรรค์ของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ควรเกิดขึ้น เพราะภาพที่จะปรากฏต่อสาธารณะมันจะสื่อได้ชัดเจนว่า สายสัมพันธ์ระหว่างพรรคและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในระดับนำของพรรครัฐบาลนั้นมันยังแน่นแฟ้นเหมือนเดิมหรือไม่
ดังนั้น การปล่อยข่าวที่ว่าสามมิตรจะตีจากพรรคสืบทอดอำนาจ จึงไม่ใช่ข่าวโคมลอยที่ไร้ที่มาที่ไป ถ้ามาจากพรรคเพื่อไทยเองก็ถือเป็นการชิงความได้เปรียบ สร้างกระแสให้เกิดความสั่นไหวต่อรัฐบาล แต่หากมาจากภายในพรรครัฐบาลเอง ก็ย่อมสะเทือนถึงเสถียรภาพ ความเป็นปึกแผ่นของพรรคสืบทอดอำนาจ คงไม่ได้มีแค่กลุ่มสามมิตรเท่านั้นที่จะตีจากไปอยู่กับพรรคสำรองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่ยังมีอีกหลายก๊วนที่จะตามไปด้วย
หากย้อนกลับไปยังภาพการเรียก 6 รัฐมนตรีหารือของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเพื่อเขย่าโครงสร้างพรรคสืบทอดอำนาจ ก็จะทำให้เห็นภาพก๊วนส.ส.ภายในพรรคแกนนำรัฐบาลได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ สามมิตรภายใต้การกำกับดูแลของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีอุตสาหกรรม พร้อมกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรียุติธรรม และ อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ยังมีเครือข่ายส.ส.ภาคกลางที่ดูแลโดย ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส
รวมไปถึงส.ส.ภาคตะวันออกในสังกัด สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงาน และกลุ่มส.ส.เพชรบูรณ์ที่มีโต้โผใหญ่คือ สันติ พร้อมพัฒน์ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะมีการประเมินกันว่าสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้าย กระแสออกมาอย่างไร ไหลไปทางพรรคสืบทอดอำนาจหรือยังนิยมชมชอบผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่ถ้าไม่มีทั้งสองด้าน ปัจจัยชี้วัดสำคัญในการตัดสินใจว่าจะสวมสีเสื้อฝั่งไหนคือกระสุนดินดำ ซึ่งตอนนี้กำลังระดมกันเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นมือแจกกล้วยและรับรู้ความต้องการ รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของส.ส.ในพรรคมาโดยตลอด มือขวาของพี่ใหญ่ย่อมมองเห็นว่าใครในเครือข่ายไหนที่สามารถดึงเข้ามาเป็นพวกได้ จึงมีการเจรจาและตกปากรับคำกันไปก่อนหน้า นั่นเป็นโจทย์สำคัญที่ว่าแกนนำแต่ละกลุ่มหากจะไปการันตีกับคนที่จะแยกไปตั้งพรรคสำรอง ต้องสำรวจเสียงที่ตัวเองเคยมีก่อนว่ายังอยู่ครบหรือไม่ ถ้าปัจจัยไม่ถึงก็ยากที่จะรั้งนักเลือกตั้งอาชีพให้ภักดีได้
ขณะที่กลุ่มของวิรัชกับปลายทางพรรคภูมิใจไทยนั้น พอเข้าใจกันได้ด้วยเป้าหมายที่จะยึดฐานเสียงส.ส.ในพื้นที่โคราชให้ได้ทั้งจังหวัดของ อนุทิน ชาญวีรกูล จึงเป็นหนทางที่ถูกเลือกไว้แล้ว นอกจากนั้นการไปทำหน้าที่รัฐมนตรีช่วยคมนาคมของ อธิรัฐ รัตนเศรษฐ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของวิรัชก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจาก ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการและเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ทุกอย่างจึงลงล็อก และกรณีนี้คงไม่ใช่ข่าวปล่อยรอแค่เวลาที่จะเกิดความชัดเจนเท่านั้น
ส่วนจะเลือกตั้งกันเมื่อใด พิจารณาจากการขยับตัวของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.และมือทำงานของพรรคสืบทอดอำนาจแล้ว กลางปีหน้าถือว่าอย่างเร็ว หรือช้ากว่านั้นนิดหน่อย ไม่เพียงเท่านั้นการชิงประกาศจะกวาด 24 เก้าอี้ส.ส.กทม.จากทั้งหมด 30 ที่นั่งของบิ๊กป้อม ถ้าไม่ใช่ราคาคุย สร้างความฮึกเหิมให้ผู้สมัครของพรรค ก็แสดงว่ายุทธศาสตร์ที่วางกันไว้ไม่ธรรมดา ขณะที่เพื่อไทยก็มองไปถึงการชนะแบบแลนด์สไลด์ เกทับบลัฟกันแหลก แต่ในทางการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรหรือไม่ระหว่างทาง