TTCL ประกอบการไตรมาส 3/58 ฟื้นตัวดีมองโครงการโรงไฟฟ้า 1,280 MW เป็นบวก
TTCL มีสัญญาณการฟื้นตัวจากผลประกอบการไตรมาส 3/58 โดยมีการฟื้นตัวดีขึ้นเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังลดลง แรงผลักดันมาจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า 120 MW เต็มปี มีผลขาดทุนจากโครงการเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด (desalination project) ที่การ์ต้าลดลง และการขาดทุนจากโครงการ Orient Bio-Fuels เป็นไปอย่างจำกัด แนวโน้มโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน 1,280 MW เป็นบวก หนุนนำด้วยงานก่อสร้างมูลค่าถึง 49 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ตั้งแต่ปี 59 และใช้เวลา 5 ปีในการก่อสร้าง
บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ (19 ต.ค.) ว่า บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) หรือ TTCL คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 32.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOTP แบ่งเป็น 20.40 บาทจากธุรกิจรับเหมาประเภท EPC ด้วย P/E ปี 59 ที่ 22 เท่า (+0.5 SD) และ 4.30 บาท จากการลงทุน และ 7.00 บาท จากการถือหุ้น 50% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายด้วย -1 SD ของค่า P/E เฉลี่ย เราจึงเห็นว่าความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะปรับลงนั้นเป็นไปอย่างจำกัดแล้ว
แนวโน้มโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน 1,280 MW เป็นบวก หนุนนำด้วยงานก่อสร้างมูลค่าถึง 49 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ตั้งแต่ปี 59 และใช้เวลา 5 ปีในการก่อสร้าง
นอกจากนี้บริษัทยังสามารถบันทึกรายได้ที่เกิดขั้นประจำจากการจำหน่ายไฟฟ้า โดยมีอายุสัมปทานยาวนานถึง 30 ปี ด้านอัตรากำไรขั้นต้นก็ดีกว่าเป็น 30% เทียบกับงานก่อสร้าง EPC ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 5% ทั้งนี้เงินลงทุนในโรงไฟฟ้า บริษัทคาดว่าจะได้จากการนำบริษัทในกลุ่มคือ TTPHD มา IPO ประมาณไตรมาส 4/59 ในจำนวน 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ
มีสัญญาณการฟื้นตัวจากผลประกอบการไตรมาส 3/58 โดยมีการฟื้นตัวดีขึ้นเทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังลดลง แรงผลักดันมาจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า 120 MW เต็มปี มีผลขาดทุนจากโครงการเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด (desalination project) ที่การ์ต้าลดลง และการขาดทุนจากโครงการ Orient Bio-Fuels เป็นไปอย่างจำกัด
ข้อดีของ TTCL คือ มูลค่างานก่อสร้างในมือ (Backlog) ปัจจุบันทำสถิติสูงสุดที่ 40.3 พันล้านบาท แม้ว่ายังไม่นับรวมโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่พม่าตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และโครงการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมที่เวียดนามมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้มีการปรับราคาพื้นฐานลง หลังสะท้อนรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำลงในประมาณการปี 58 ส่วนความเสี่ยงคือ ความล่าช้าโครงการโรงไฟฟ้าที่พม่า เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับการปิดดีลด้านการเงิน