โบรกฯ เชียร์ซื้อ ORI เป้าใหม่ 16 บ. ชูท็อปพิคกลุ่ม จับตา 3 ปีกำไรโต 19%

โบรกฯ เชียร์ซื้อ ORI เป้าใหม่ 16 บ. ชูท็อปพิคกลุ่ม ประเมินกลยุทธ์ ORIGIN NEXT LEVEL ต่อยอดการเติบโตด้วยธุรกิจใหม่  จับตา 3 ปีกำไรปกติโตเฉลี่ย 19% คาดยอดโอนเพิ่ม-ปัจจัยบวกจากการผ่อนคลาย LTV-ทุกธุรกิจทยอยรับรู้รายได้


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ (16 ธ.ค.2564) เกี่ยวกับหุ้น บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ว่า ORIGIN NEXT LEVEL ต่อยอดการเติบโตด้วยธุรกิจใหม่ นอกเหนือจากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยที่เป็นแหล่งรายได้หลัก และการขยายไปธุรกิจ Recurring Income ผ่าน ONE ORIGIN อสังหาฯเชิงพาณิชย์ และ PRIMO ธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับอสังหาฯ ORI ยังเปิดเผยกลยุทธ์การเติบโตผ่านการมุ่งกระจายการลงทุนไปธุรกิจอื่นที่ล้วนอยู่ใน Mega Trend ผนึกกับความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ดังนี้ 1) ธุรกิจ Logistic จับมือกับ JWD 2) ธุรกิจ Healthcare จับมือกับ KIN และ THAI LEAF

รวมทั้ง 3) ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) 4) ธุรกิจพลังงาน ร่วมกับ GUNKUL 5) ธุรกิจนายหน้าประกัน เมื่อรวมธุรกิจใหม่และธุรกิจที่เป็นแกนหลัก ทำให้ ORI สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมการอยู่อาศัย มุ่งสู่เป้าหมาย Beyond Property และเกิด Ecosystem ของบริษัทในเครือที่สามารถดูแลผู้บริโภคได้อย่างครบวงจรในทุกช่วงของชีวิต ขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่ม ORI แข็งแกร่งและมั่นคงในระยะยาวกระจายความเสี่ยง พร้อมมีแผน Spin off อย่างน้อย 8 บริษัทในปี 2564-2569

นอกเหนือจากการเน้นการทำกำไร แต่ ORI ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งเป็นกลไกสร้างคุณค่าให้กิจการอย่างยั่งยืน หนุนการเติบโตของผลประกอบการอย่างมั่นคงและช่วยลดความเสี่ยงจากการด าเนินงานได้ในระดับหนึ่งจากทั้งแง่ภาพลักษณ์ดูดีขึ้นและสร้างโอกาสให้สินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภค, สามารถลดต้นทุนจากการด าเนินงาน, เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนบวกกับความเชื่อมั่นกับพันธมิตร รวมถึงทำให้หุ้น ORI ได้รับความน่าสนใจจากนักลงทุนและได้เปรียบในเชิงแข่งขันมากขึ้น โดยการมุ่งดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG มาตลอด ทำให้ ORI เป็น 1 ใน 146 บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกจากตลท.เข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในปี 2564

ทั้งนี้คาดผลประกอบการหลักปี 2564 ขยายตัว 7.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน ส่วนในปี 2565 – 2566 โตในอัตราเร่งตัวขึ้น 38% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 14% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามลำดับ ขับเคลื่อนจาก 1) ยอดโอนเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง จากการรับรู้ Backlog ที่แข็งแกร่ง ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งรับรู้ถึงปี 2567 โดยรองรับคาดการณ์ยอดโอนปี 2565 ของ ORI และ JV แล้ว 33% และ 98% ตามลำดับ จำกัด Downside บวกกับมีแผนรุกเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้น

รวมทั้ง 2) ปัจจัยบวกจากการผ่อนคลาย LTV ซึ่งมองว่า ORI เป็นได้รับประโยชน์ลำดับต้นๆ รวมถึง COVID-19 ที่คลี่คลาย หนุนกำลังซื้อและอุปสงค์ต่างชาติจากการเปิดประเทศ และ 3) การรับรู้จากธุรกิจอื่นนอกเหนือจากอสังหาฯ มากขึ้น สร้างการเติบโตแบบ New S-Curve ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

นอกจากนั้นได้ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมปี 2565 เป็น 16 บาท (จากเดิม 14 บาท) สะท้อนการปรับประมาณการขึ้น และปรับ PE ขึ้นเป็น 10.5 เท่า (จากเดิม 9.4 เท่า) อ้างอิงค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง +2.0SD และให้ Premium จาก 9 บริษัทอสังหาฯ ซึ่ง Forward PE ปี 2565 ที่ 9.1 เท่า สะท้อนแผนการขยายลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นที่ชัดเจนขึ้น และทุกธุรกิจเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2565

ขณะที่การเติบโตกำไรปกติปี 2564-2565 คาดเติบโต 21.8% เด่นกว่ากลุ่มอสังหาฯ ที่เติบโต 9.4% CAGR และเร่งขึ้นดีในปี 2566 นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจยังถูกขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์และจุดแข็งของกลุ่ม ORI ที่ปรับตัวได้เร็วตอบรับสภาพแวดล้อมและเมกะเทรนด์, การขยายการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายช่วยเติมเต็มธุรกิจของบริษัทและมีผลกำไรที่สม่ำเสมอ และการคำนึงถึงหลัก ESG ในการประกอบธุรกิจ เป็นบวกต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ทำให้มองว่า ORI สมควรได้รับ Premium Valuation เมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PE ปี 2565 เพียง 6.6 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ ที่ 9.1 เท่า พร้อมคาดให้ผลตอบแทนเงินปันผลดี 5-6% ต่อปี จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” และชอบมากที่สุดในกลุ่มฯ

 

Back to top button