HUMAN แรลลี่ยาว! บวกอีก 5% นิวไฮรอบกว่า 3 ปี โบรกฯเชียร์ซื้ออัพเป้าใหม่ 15 บ.
HUMAN แรลลี่ยาว! บวกอีก 5% นิวไฮรอบกว่า 3 ปี โบรกฯเชียร์ซื้ออัพเป้าใหม่ 15 บ. ลุ้นปีนี้กำไรโตเกิน 100% พร้อมมองบวกลงทุน “DataOn” ดันรายได้-กำไรโตยาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(17ธ.ค.64)ราคาหุ้น บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) หรือ HUMAN ณ เวลา 15:43 น. อยู่ที่ 12.40 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.08% สูงสุดที่ 12.80 บาท ต่ำสุดที่ 1.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 131.46 ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮรอบ 3 ปี ครึ่ง โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 12.40 บาท เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2561
โดยบล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจุบัน HUMAN มีส่วนแบ่งในตลาดโซลูชั่นด้าน HR มากที่สุดในประเทศไทย ขณะที่ DataOn เป็นเจ้าตลาดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งดีลการเข้าซื้อ DataOn ของ HUMAN จะทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในอาเซียนอย่างเต็มตัว โดยมองว่าดีลนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นที่ราคา 10.60 บาทต่อหุ้น อาจเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น
ทั้งนี้การเข้าซื้อหุ้น DataOn จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวของทั้งรายได้และกำไรของ HUMAN นอกจากนี้บริษัทให้บริการกว่า 13 ประเทศทั่วเอเชีย นอกเหนือจากในอาเซียน DataOn มีฐานลูกค้าอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และทางตะวันออกกลาง โดยหลังการเข้าซื้อหุ้นฐานลูกค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 บริษัท (ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 2 ล้านราย) นอกจากนี้ DataOn กับ HUMAN จะสามารถผนึกกำลังกันเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ต่อได้ในอนาคต ซึ่งทำให้บริษัทพร้อมที่จะแข่งขันกับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าจะเจอปัญหาการระบาดของโควิด-19 แต่ DataOn ยังคงรายงานอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของรายได้สำ หรับช่วงปี 2562-63 ถึง 25% และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของกำไรสำหรับช่วง 2562-63 ถึง 112% โดยอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 59% และ 23% ตามลำดับ คาดการณ์กำไรปี 2564 ที่ 84 ล้านบาท เติบโต 104% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 122 ล้นบาท สำหรับปี 2565 เติบโต 46% เมื่อเทียบจากปีก่อน
ทั้งนี้ประเทศอินโดนีเซียเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยมีประชากรถึง 270 ล้านคน (เทียบกับประเทศไทยเพียง 70 ล้านคน) จึงประมาณการว่ากำไรสุทธิต่อหุ้นของ HUMAN จะเพิ่มขึ้น 20% สำหรับปี 2565 (รวมบัญชี 9 เดือน) ไปที่ 0.38 บาท จากดีลดังกล่าว จึงปรับขึ้นราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 เป็น 15 บาท จากเดิม 12 บาท อ้างอิงจาก PER ที่ 40 เท่า (เทียบเท่ากับค่าเฉลี่ย PER ของ 6 บริษัทกลุ่มเทคโนโลยีของประเทศไทยที่บล.บัวหลวง ให้คำแนะนำ) คาดการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2565 ที่ 42% คิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่เพียง 0.8 เท่า