BRI ลงเทรดวันแรก! ลุ้นวิ่งทะลุเป้า 13 บ. จับตา 3 ปีกำไรโต 60%
“บริทาเนีย” หรือ BRI ลงเทรดวันแรก! ลุ้นวิ่งทะลุเป้า 13 บ. โบรกฯ ชูพื้นฐานแกร่ง ดาวเด่นกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ Blue Ocean เน้นสร้างเอกลักษณ์ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ จับตา 3 ปีกำไรโต 60% รับกำลังซื้อเพิ่ม อานิสงส์ผ่อนคลาย LTV
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ธ.ค.2564) หลักทรัพย์ของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นวันแรก
ทั้งนี้ BRI เป็นบริษัทแกนนำหลัก (Flagship Company) ของกลุ่ม บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบภายใต้ 4 แบรนด์ แบ่งตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและรูปแบบโครงการที่มีหลากหลายทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ได้แก่แบรนด์เบลกราเวีย แกรนด์บริทาเนีย บริทาเนีย และไบรตัน บริษัทมีประสบการณ์พัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ตั้งแต่ปี 2559 รวมทั้งสิ้น 15 โครงการและมีโอกาสในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในทำเลที่มีการขยายตัวทั่วประเทศ
โดย BRI มีทุนชำระแล้วหลัง IPO จำนวน 426.33 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 252.65 ล้านหุ้น โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 7 – 9 ธันวาคม 2564 สำหรับผู้ถือหุ้นของ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Right) และ 13 – 15 ธันวาคม 2564 สำหรับผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนสถาบัน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 10.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 2,652.83 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO จำนวน 8,953 ล้านบาท
สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 17.52 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือน หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.60 บาท โดยมี บล.กสิกรไทย และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัทฯ และเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัท ทั้งในแง่ของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ความเชื่อมั่นของคู่ค้า และผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ โดย BRI มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปพัฒนาโครงการของบริษัท รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมและส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท
ทั้งนี้ BRI มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) ORI ถือหุ้น 70% 2) กลุ่มครอบครัวจรูญเอก ถือหุ้น 2.49% และ 3) กลุ่มครอบครัวชลคดีดำรงกุล ถือหุ้น 0.70% และมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังจากหักภาษี และทุนสำรองตามกฎหมาย ทั้งนี้คณะกรรมการจะพิจารณาโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อประโยชน์ของกิจการและผู้ถือหุ้น
โดยก่อนหน้านี้ นางศุภลักษณ์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัดรวม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 2565 เช่น โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์–นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อุดร-ดุษฎี มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย ระยอง มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์อีก 13 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 17,550 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่ทยอยเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2565
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BRI ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเทศที่อยู่อาศัยแนวรายที่มีแบรนด์ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม จุดเด่นคือ กลยุทธ์ Blue Ocean เน้นสร้างความแตกต่างทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพแห่งใหม่ ส่วนปัจจัยการเติบโตได้แรงหนุนจากตลาดแนวรายที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจ รวมถึงเทรนด์อุตสาหกรรมอย่าง New Normal, การขยายตัวของเมือง, ระบบคมนาคม และ การพัฒนา EEC
ทั้งนี้คาดผลประกอบการ 3 ปีข้างหน้าขยายตัว 60% CAGR โดยคาดผลประกอบการปี 2564 เติบโต 77% เมื่อเทียบจากปีก่อน ส่วนปี 2565 เติบโต 81% เมื่อเทียบจากปีก่อน ก่อนขยายตัวดี 27% เมื่อเทียบจากปีก่อนในปี 2566 มีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) รายได้คาดเพิ่มขึ้น 56% CAGR ในปี 2564-2566 จากการรุกเปิดโครงการใหม่ ท่ามกลางตลาดอุปสงค์แนวราบที่แข็งแกร่ง รวมถึงการผ่อนคลาย LTV และกำลังซื้อที่ฟื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลายขึ้น 2) การปรับ Portfolio จากแบรนด์แกรนด์บริทาเนียซึ่งราคาขายสูงกว่า และลดการทำโปรโมชั่น หนุนอัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้น 3) รับประโยชน์จาก Economy of scale ทำให้ SG&A ต่อรายได้ลดลง
โดยประเมินมูลค่าของ BRI ด้วยวิธี Relative valuation อิง PE ที่ 10 เท่า อ้างอิงกับบริษัทประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้จากโครงการแนวราบมากกว่า 60% ของรายได้รวมอย่าง AP, LH, PSH, QH, SC, SPALI ซึ่งมีค่าเฉลี่ย Forward PE ปี 2565 ที่ 8.5 เท่า โดยมองว่าบริษัทฯควรได้ Premium จากก าไรที่อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยผลประกอบการปี 2564-2565 คาดเติบโตเด่น 77%-81% สูงกว่ากลุ่มฯ ที่ 8%-9% ตามลำดับ
รวมถึงยังถูกขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์และจุดแข็งของกลุ่ม ORI โดยเฉพาะการปรับตัวได้เร็วตอบรับสภาพแวดล้อมและเมกะเทรนด์ที่เป็นบวกต่อการเติบโตอย่างมั่นคงและได้เปรียบคู่แข่ง นอกจากนี้ มี Upside ที่ยังไม่อยู่ในประมาณการจากการพัฒนาโครงการรูปแบบ JV และการขยายไปธุรกิจอื่นที่สร้าง Recurring Income ซึ่งเป็นจุดเด่นที่อยู่ใน DNA ของกลุ่ม ORI ทั้งนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส คำนวณได้มูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานปี 2565 ที่ 13 บาท (รวม Dilution จาก ESOP Warrant)