“ทรีนีตี้” อัพเป้า JMT แตะ 77 บ. ชูหุ้นเติบโตสูง มองบวกแผนร่วมทุน KBANK

“ทรีนีตี้” อัพราคาเป้า JMT เป็น 77 บ. ชูหุ้นเติบโตสูง มองบวกแผนร่วมทุน KBANK ขณะที่เงินจากการเพิ่มทุนจะช่วยหนุนรายได้และกำไรในอนาคต คาดเติบโตขั้นต่ำ 30% ไปอย่างน้อย 6 ปี


บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 77 บาท

โดย JMT แจ้งตลาดเรื่องมติที่ประชุมกรรมการที่ได้อนุมัติหลักการการเข้าร่วมลงทุนกับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK โดย ผ่านบริษัทลูกของ KBANK ซึ่งจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจร่วมกัน 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจให้บริการงานติดตามหนี้ และ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ

สำหรับทั้ง 2 บริษัทร่วมทุน JMT จะถือหุ้นในสัดส่วนน้อยกว่า 50% และบริษัทลูกของ KBANK จะถือหุ้นมากกว่า 50% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/65

ทั้งนี้ JMT เพิ่งเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเมื่อวันที่ 14-20 ธ.ค. 64 ด้วยราคาใช้สิทธิที่ 41.5 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดมาก คาดว่าจะมีการใช้สิทธิเต็มจำนวน ทำให้ JMT จะได้เงินจากการเพิ่มทุนเข้ามาราว 10,000 ล้านบาท และสัดส่วน D/E จะลดไปเหลือราว 0.3 เท่า

โดยก่อนหน้า JMT ได้ปรับเป้าหมายวงเงินการซื้อหนี้ในปี 64 เป็น 7,000-10,000 ล้านบาท ปี 65 เป็น 15,000 ล้านบาท และปี 66 เป็น 20,000 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการปรับเป้าวงเงินการซื้อหนี้ขึ้น แต่สัดส่วน D/E ที่ค่อนข้างต่ำทำให้ JMT ยังมีเงินทุนที่จะลงทุนเพิ่มเติมได้อีก การจัดตั้ง JV อาจเป็นหนึ่งช่องทางที่ทาง JMT จะนำเงินไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการเพื่อสะท้อนเงินทุนจาการเพิ่มทุนที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับเป้าการซื้อหนี้ในปี 64 เป็น 10,000 ล้านบาท (จากงวด 9 เดือนแรกปี 64 ที่ซื้อหนี้มาราว 7 พันล้านบาทแล้ว) ปี 65 เป็น 15,000 ล้านบาท และปี 66 เป็น 20,000 ล้านบาท

สำหรับประเด็นของ JV ปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดในด้านขนาดของเงินทุนที่ทั้ง JMT และ KBANK จะลงทุน และยังไม่มีสัดส่วนการลงทุนที่แน่นอน จึงยังรอรายละเอียดเพื่อที่จะปรับประมาณการเพิ่มเติมในอนาคต ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 77 บาท

พร้อมกันนี้ ปรับราคาเป้าหมายเป็น 77 บาท อิงวิธี DCF (WACC 7.4%, G 5%) โดยเงินจากการเพิ่มทุนจะช่วยหนุนรายได้และกำไรในอนาคต คาดกำไรจะเติบโตขั้นต่ำ 30% ไปอย่างน้อย 6 ปีข้างหน้า มองเป็นหุ้นเติบโตสูง จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button