DOHOME วิ่ง 3% โบรกชี้กำไรปี 64 โต 157% แตะ 1.87 พันลบ. เคาะเป้า 29 บ.
DOHOME วิ่ง 3% โบรกชี้กำไรปี 64 โต 157% แตะ 1.87 พันลบ. รับขยายสาขาเพิ่ม-รายได้จากสินค้ากลุ่มก่อสร้างเพิ่มขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (10 ม.ค. 2565) ราคาหุ้นบริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ณ เวลา 10:35 น. อยู่ที่ระดับ 23.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท หรือ 2.64% โดยทำจุดสูงสุดที่ 23.40 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 22.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 177.23 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (5 ม.ค.2565) ถึงกรณี DOHOME โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ระดับ 350 – 370 ล้านบาท ต่ำกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ 450 ล้านบาท แต่ยังเป็นกำไรที่โตได้เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และกลับมาเปิดได้ครบทุกสาขาอีกครั้ง (ไตรมาส 3/2564 ถูกปิดไป 2 สาขาในจ.สมุทรสาคร) และเป็นกำไรที่โต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะฐานต่ำในปีก่อน
โดยคาดสาขาเดิม (SSSG) บวกสูงราว 38% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากราคาเหล็ก ซึ่งหากไม่รวมเหล็ก คาด SSSG บวกราว 18% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และด้วย Product Mix ที่เปลี่ยนแปลง โดยรายได้จากสินค้ากลุ่มก่อสร้างเพิ่มขึ้นเป็น 49% – 50% จากก่อนหน้าที่ 43% – 45% ของรายได้รวม ซึ่งหลักมาจากเหล็กที่สัดส่วนเพิ่มเป็น 30% จาก ไตรมาสก่อนที่ 25% และด้วยราคาเหล็กที่เริ่มทรงตัวถึงปรับลง ทำให้ไม่ได้รับผลบวกจากสต็อกราคาถูกอีกต่อไป จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นเหล็กอ่อนลงเป็น 16% – 17% – 20% ในช่วง 9 เดือนปี 2564 และคาดค่าใช้จ่ายโดยรวมยังปรับตัวสูงขึ้นจากทั้งค่าใช้จ่ายสาขาใหม่ (อมตะ และสุราษฎรธานี), ค่าวัคซีนให้พนักงาน และโบนัสพิเศษ
สำหรับแนวโน้มกำไรครึ่งแรกปี 2565 น่าจะกลับมาฟื้นตัวจากครึ่งหลังปี 2564 เพราะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ โดยกิจกรรมก่อสร้างในต่างจังหวัดยังอยู่ในภาวะที่ดี แต่คาดเห็นการปรับลดลงในแง่เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2564 ซึ่งมีฐานที่ค่อนข้างสูง (มีกำไรไตรมาสละ 500 – 600 ล้านบาท)
ขณะที่ราคาเหล็กในปัจจุบันเริ่มอ่อนตัวลง และน่าจะได้เห็นกำไรกลับมาโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอีกครั้งในครึ่งหลังปี 2565 ทั้งนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายสาขาใหม่ 5 แห่ง ปัจจุบัน Secured ที่ดินไว้ครบหมดแล้ว คาดจำนวนสาขา Size L สิ้นปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 21 สาขา จาก 16 สาขา ณ สิ้นปี 2564 สิ่งที่บริษัทฯ ยังต้อง Monitor ต่อไปคือ ระดับ Inventory Day ที่ค่อนข้างสูงระดับ 180 – 200 วัน ซึ่งบริษัทฯ มีเป้าหมายลดให้ไม่เกิน 150 วัน เพื่อเพิ่มระดับสภาพคล่องให้ดีมากยิ่งขึ้น ยังคาดกำไรสุทธิปี 2564 ไว้ตามเดิมที่ 1,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156.50% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 1,968 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามแม้ระยะสั้นยังไม่มี Catalyst หนุนราคาหุ้น แต่ทางฝ่ายวิจัยยังมองบวกต่อการเติบโตในระยะยาว และราคาหุ้นที่ปรับลงมาอยู่ในโซนล่างเทรดบนค่า PE ปี 2565 ที่ 28.6 เท่า และค่า PE ปี 2566 ที่ 25.30 เท่า ให้ราคาเป้าหมาย 29 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อลงทุน”