III พุ่งแรง 7% โบรกฯชูเป้า 21 บ. ชี้กำไรปี 64 โตเท่าตัว อานิสงส์ค่าระวางพุ่ง-แอร์เฟรทฟื้น

III พุ่งแรง 7% โบรกฯชูเป้า 21 บ. ชี้กำไรปี 64 โต 124% แตะ 363 ลบ. อานิสงส์ค่าระวางการขนส่งทางเรือสูงขึ้นตามฤดูกาล และปริมาณการขนส่งทางอากาศฟื้นตัวตามจำนวนเที่ยวบินหลังเริ่มเปิดประเทศ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (12 ม.ค.2565) ราคาหุ้นบริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III ณ เวลา 14:49 น. อยู่ที่ระดับ 18.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 6.51% โดยทำจุดสูงสุดที่ 18.30 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 16.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 357.98 ล้านบาท

บริษัท หลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (11 ม.ค.2565) ว่า ทางฝ่ายวิจัยมองการเติบโตในระยะถัดไปของ III จะมาจากแผนการขยายการลงทุนในธุรกิจหลัก ตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบิน (GSA) ผ่านการจัดโครงสร้างบริษัท ANI มีวัตถุประสงค์ในการเป็น Operating Holding และจะดำเนินการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท GSA ต่างๆ ในภูมิภาค ในลักษณะของการทำ M&A และ JV โดยมีเป้าหมายเป็น Reginal Leader ล่าสุด III ได้เพิ่มทุนใน ANI ด้วยเงินอีก 300.80 ล้านบาท ใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการของกลุ่มบริษัท Asia GSA ในสัดส่วน 20% ซึ่งเป็นตัวแทนสายการบินในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และ เวียดนาม ส่งผลให้การบริการครอบคลุม 8 ประเทศ มากกว่า 20 สายการบิน

ทั้งนี้คาดรายได้ของ ANI (III ถือหุ้น 50.11%) ในปี 2564 ที่ 4 พันล้านบาท และขยายตัวขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท ช่วยหนุนให้ III รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีแผน Spin-Off บริษัท ANI เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ สำหรับเตรียมเงินลงทุนในการขยายธุรกิจ GSA ต่อไป

สำหรับธุรกิจใหม่บริหารจัดการโลจิสติกส์สำหรับลูกค้ากลุ่ม E-Commerce ในประเทศ โดยได้เข้าไปลงทุนในบริษัท ShipSmile (A.T.P. Friend Service) เพิ่มขึ้นจนปัจจุบันถือหุ้นใน สัดส่วน 45.50% โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์จาก 4,000 สาขา เป็น 10,000 สาขาภายใน 3 ปีพร้อมเพิ่มความหลากหลายของบริการ ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส รับจองตั๋ว รับชำระค่าบริการ เป็นต้น

โดยวางตำแหน่งของ ShipSmile เป็นพันธมิตรกับ ผู้ประกอบการขนส่งพัสดุทุกราย โดยในปี 2565 ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรอยู่ที่ราว 40 ล้านบาท (100% Basis) นอกจากนี้ยังจัดตั้งบริษัท ทริพเพิล ไอ เรลจิสติกส์ (TIR) ถือหุ้นในสัดส่วน 55% ร่วมกับกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งทางรางและทางบกโดยหัวรถลาก โดยเส้นทางการขนส่งในประเทศมีเส้นทางการให้บริการจากภาคตะวันออกมายังภาคกลาง ปัจจุบันรับงานขนส่งให้ SCGP และเตรียมขยายเส้นทางการขนส่งข้ามแดนระหว่างประเทศเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟฟ้าลาว-จีน (BRI) ในไตรมาส 1/2565 นี้ ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าจะสร้างกำไรในปี 2565 ราว 25 – 40 ล้านบาท (100% Basis)

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 4/2564 คาดกำไรปกติที่ 100 ล้านบาท เติบโตเด่น 107% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากค่าระวางการขนส่งทางเรือสูงขึ้นตามฤดูกาล ประกอบกับปริมาณการขนส่งทางอากาศฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นหลังเริ่มเปิดประเทศ ส่วนในปี 2565 ทางฝ่ายวิจัยประมาณการรายได้รวมจะยังคงเติบโต 7.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ 2.70 พันล้านบาท หนุนจากปริมาณและค่าระวางขนส่งที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะทางเรือที่อิงจากดัชนี SCFI ที่ล่าสุดทำ New High

ส่วนธุรกิจขนส่งสินค้าอันตรายยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีแผนการขยายพื้นที่รองรับการให้บริการ ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางอากาศ ทางเรือ และธุรกิจใหม่ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 344 ล้านบาท จากการรับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นของ ANI/ShipSmile/TIR รวมถึง AOTGA ที่จะเริ่มกลับมาเป็นกำไร ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมี GPM ที่ 20% และ NPM ที่ 18%

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2565 ที่ 21.00 บาท อิงค่า P/E Multiple ที่ 27 เท่า (ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม Logistics ในประเทศ) ทั้งนี้ยังไม่รวมสมมติฐาน EPS Dilution หากเกิดการใช้สิทธิแปลงสภาพของ III-W1 ที่ ในปี 2565 โดยทางฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากค่าระวางเรือที่พุ่งขึ้น ก่อนตรุษจีนและผลกระทบจากนโยบาย Zero COVID ของจีนที่ทำให้ท่าเรือหนาแน่น นอกจากนี้ยังมี Upside จากธุรกิจใหม่ทางราง บวกกับ Story ของการ Spin-Off AN

Back to top button