NER ปักธงรายได้ปี 65 โต 2.80 หมื่นลบ. ลุยธุรกิจปลายน้ำดันมาร์จิ้น โบรกฯชูเป้า 10.70 บ.
NER ตั้งเป้ารายได้ปี 65 แตะ 2.80 หมื่นลบ. มองดีมานด์ยางพาราดีต่อเนื่องจากปัจจัยหนุนหลายด้าน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง เดินหน้าลุยธุรกิจปลายน้ำหวังดันมาร์จิ้น โบรกฯชูเป้า 10.70 บ.
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2565 ไปที่ 28,000 ล้านบาท จากปี 2564 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 24,500 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่องจากปัจจัยหนุนหลายด้าน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง นอกจากนี้หากสถานการณ์โควิดคลี่คลายก็จะทำให้การเดินทางมากขึ้นก็ยังส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้นด้วย
ส่วนในด้านปริมาณการขายยางในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ราว 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 510,000 ตัน โดยสัดส่วนของยอดขายในปี 2565 บริษัทฯ ยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 65:35 เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นทิศทางที่สูงขึ้น
สำหรับช่วงไตรมาส 1/2565 สถานการณ์ยางกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุนจากยางพารากำลังเข้าสู่ฤดูการปิดกรีด จึงเกิดปัญหาการขาดแคลนจากอุปทานที่ลดต่ำลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการนำเข้ายางของจีนเพิ่มมากขึ้น และบริษัทผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มเก็บสต็อกยางธรรมชาติ ดังนั้น คาดว่าการบริโภครายเดือนจะสูงถึง 500,000 ตัน นอกจากนี้ ความต้องการยางในประเทศอื่น ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย
ทั้งนี้สมาคมรถยนต์โดยสารแห่งประเทศจีน (CPCA) รายงานว่ายอดจำหน่ายรถยนต์โดยสารพลังงานใหม่ในจีนรวม 2.99 ล้านคันในปี 2564 เพิ่มขึ้น 169.10% เมื่อเทียบกับปี 2563 และมียานยนต์ที่จดทะเบียนในปี 2564 รวม 36.74 ล้านคัน ทำให้จำนวนยานยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 395 ล้านคัน ซึ่งเป็นรถยนต์ 302 ล้านคัน ขณะที่มีรายงานยอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 5.40% หรือประมาณ 25.70 ล้านคันในปี 2565 จึงมีโอกาสหนุนให้ราคายางปรับตัวขึ้นแตะระดับ 70 บาท/กิโลกรัมได้ และทั้งปีคาดว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 65-67 บาทต่อกิโลกรัม
ด้านแผนงานธุรกิจปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์แผ่นปูนอนรองวัว ภายใต้แบรนด์ cattleFlex ของ NER ยังเป็นไปตามแผนงาน คาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2565 ประเมินปริมาณขายในปีนี้ 280,000 แผ่น คิดเป็นรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างทำการเจราจากับกลุ่มประเทศต่างๆ ให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า (Distributer) เฟสแรก 13 ประเทศ ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น Pro พรีเมียมระดับมาตรฐานยุโรป รุ่น Tuf ทนทานในราคาที่จับต้องได้ รุ่น Calf พิเศษสำหรับลูกวัว และรุ่น Move สำหรับทางเดินในฟาร์มปศุสัตว์
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังตั้งงบลงทุนไว้ที่ราว 240 ล้านบาท แบ่งเป็น 100 ล้านบาทใช้ลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) นำมาทดแทนพลังงานอื่นเพื่อช่วยประหยัดต้นทุนพลังงาน และ 40 ล้านบาท ลงทุนด้านหุ่นยนต์ดึงยางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการผลิต เพื่อหนุนปริมาณยอดขายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาทจะนำไปใช้ในการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามนโยบายบริษัท เพื่อที่จะรุกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นสร้างมูลค่าและกำไรให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (13 ม.ค. 2565) โดยคาดกำไรไตรมาส 4/2564 จะทำสถิติใหม่อีกครั้ง ที่ 544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ผลักดันจากมาร์จิ้นที่คาดทำระดับสูงสุดของปี ส่วนทิศทางปี 2565 จะเป็นปีแรกที่ NER เปิดประตูบานใหม่สู่ธุรกิจปลายน้ำที่จะให้มาร์จิ้นสูงขึ้นเท่าตัวและผ่อนคลายเงินทุนหมุนเวียนให้บริษัทอีกด้วย แนะนำราคาเป้าหมาย 10.70 บาท