MEGA รับเทรนด์รักษ์สุขภาพโต

จากการมาของวิกฤตโควิด ทำให้ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนให้ MEGA เติบโตก้าวกระโดด


คุณค่าบริษัท

เดิมบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ซึ่งทำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยาและอาหารเสริม ก็เติบโตดีอยู่แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยรับปัจจัยบวกจากเทรนด์รักษ์สุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง แต่จากการมาของวิกฤตโควิด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ MEGA เติบโตก้าวกระโดด

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2564 น่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่าแผนงานที่วางไว้ ซึ่งตั้งเป้าหมายมีกำไรสุทธิเติบโต 8-10% หรือเป็นตัวเลขสองหลัก เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 1,392.65 ล้านบาท

ขณะที่ทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 น่าจะออกมาดีไม่ต่างจากยอดขายใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2564 ที่ออกมาดีมาก ซึ่งมียอดขายรวมกว่า 10,897.51 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,450.45 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) นับแต่ก่อตั้งบริษัทมา

โดยการเติบโตดังกล่าวมาจากยอดขายที่ปรับสูงขึ้นทุกกลุ่ม ทั้งผลิตภัณฑ์ยา วิตามิน สมุนไพร  ยาสามัญ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในเอเชีย  แอฟริกา ลาติน เปรู โคลัมเบีย  และประเทศใหม่ ๆ ที่กำลังเข้าไปทำตลาด ทำให้บริษัทยังคงแผนการเติบโตในระยะ 5 ปี (2564-2568) ที่จะเน้นการสร้างกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เป็น 2,400-2,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับฐานปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 1,138.52 ล้านบาท

พร้อมเชื่อว่าภาพรวมผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป จะยังคงมีการเติบโตทุกปี ซึ่งหากประเมินจากปัจจัยบวกต่าง ๆ และการขยายธุรกิจของ MEGA ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ภายในปี 2566 น่าจะเริ่มเห็นระดับของกำไรสุทธิขยับขึ้นมาใกล้เคียงเป้าหมายของปี 2568 หรืออาจเร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้

สอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มองว่า MEGA จะเติบโตตาม Mega trend กระแสรักษ์สุขภาพ และมี Brand ที่ติดตลาดมายาวนาน โดยเบื้องต้นคาดกำไรปี 2564 จะเติบโต 31% เมื่อเทียบกับปี 2563  และคาดกำไรปี 2565-2566 จะเติบโตเฉลี่ย 14%  ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 อาจทรงตัว ถึงชะลอตัวเล็กน้อยจากไตรมาส 3/2564  ที่ทำนิวไฮ แต่คาดทั้งปี 2564 จะเติบโตสูงถึง 31% และปี 2565 เติบโตต่อ 14%

สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น MEGA ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 22.98 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 20.93 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายสูงกว่าตลาด แต่อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าหลังจากประกาศงบในไตรมาส 4/2564 และงบปี 2564 ออกมา  P/E น่าจะปรับลดลง เพราะคาดการณ์กันว่า กำไรทั้งในไตรมาส 4/2564 และปี 2564 จะเติบโตโดดเด่น ขณะที่มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 63.15 บาท จากราคาต่ำสุด 55.25 บาท และราคาสูงสุด 74 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท ยูนิสเตรทช์ จำกัด 434,311,400 หุ้น 49.81%
  2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 69,015,841 หุ้น 7.92%
  3. นายวิเวก ดาวัน 45,982,716 หุ้น 5.27%
  4. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 16,053,100 หุ้น 1.84%
  5. MR. PARAMJIT SINGH SAWHNEY 13,735,395 หุ้น 1.58%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายมีชัย วีระไวทยะ ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
  3. นายกิริต ชาห์ กรรมการ
  4. นายอิษฎ์ชาญ ชาห์ กรรมการ
  5. น.ส.สมิหรา ชาห์ กรรมการ
  6. นายชีราช อีรัช ปุณวาลา กรรมการ
  7. นายโธมัส อับบราฮัม กรรมการ
  8. นายอลัน ชิ ยิม แคม กรรมการอิสระ, ประธานกรรมการตรวจสอบ
  9. นายวีเจย์ พอล คาร์วาล กรรมการอิสระ, กรรมการตรวจสอบ
  10. นายต่อ สันติศิริ กรรมการอิสระ, กรรมการตรวจสอบ

Back to top button