GLOCON แรลลี่ยาว! บวกอีก 6% นิวไฮรอบกว่า 3 ปี ลุ้นผลงานปีนี้ “เทิร์นอะราวด์”

GLOCON แรลลี่ยาว! บวกอีก 6% นิวไฮรอบกว่า 3 ปี ลุ้นผลงานปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” เคาะเป้า 1.50 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (18 ม.ค.65) ราคาหุ้นบริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ หรือ GLOCON   ณ เวลา 11.34 น. อยู่ที่ระดับ 1.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท หรือ 6.06% โดยทำจุดสูงสุดที่ 1.44 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 1.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 650.57 ล้านบาท ราคาหุ้นแรงในรอบ 3 ปี 9 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ  1.42 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค.2561

โดยก่อนหน้านี้(10 ม.ค.65) นางสาวหลุยส์ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร GLOCON เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าเตรียมความพร้อมลุยตลาดอาหารผสมกัญชงอย่างเต็มรูปแบบ ล่าสุดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับนายโรเบิร์ต เทร็ลล์ ประธาน บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและสกัดสาร CBD จากกัญชง ร่วมวิจัยพัฒนาอาหารผสมกัญชง ด้วยเทคโนโลยีและห้องแล็บที่ทันสมัย ภายใต้ทีมผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับมาตรฐานสู่สากล

โดยหลังจากก่อนหน้าบริษัทได้รับใบอนุญาตสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil) พร้อมใบอนุญาตผลิตอาหารประเภทอาหารควบคุมเฉพาะ ได้แก่ เมล็ดกัญชง, น้ำมันจากเมล็ดกัญชง, โปรตีนจากเมล็ดกัญชง และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของเมล็ดกัญชง, น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือโปรตีนจากเมล็ดกัญชง (เฉพาะน้ำมันจากเมล็ดกัญชง) ที่ขึ้นทะเบียนอาหารไว้อย่างเป็นทางการ

ขณะที่บริษัทยังคงเปิดกว้างในการหาพันธมิตรรายใหม่ ๆ เพื่อผนึกความร่วมมือศึกษาวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอาหารจากโปรตีนพืช (Plant Based Food) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับผลิตภัณฑ์ รองรับกระแสคนรักสุขภาพ (Healthy) ซึ่งเป็นตลาดที่มีมาร์จิ้นสูง และมีแนวโน้มอัตราการเติบโตโดดเด่นและยั่งยืน ต่อยอดการเติบโตสู่ Sustainable Food โดยเบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าภาพรวมการเติบโตปี 2565 พลิกกำไร และยอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัท แบ่งธุรกิจเป็น 4 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. ธุรกิจอาหารแปรรูปแช่แข็ง, อาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน และผลไม้อบแห้ง สัดส่วน 61% ของรายได้ทั้งหมด, 2. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทต่าง ๆ สัดส่วน 32% ของรายได้ทั้งหมด, 3. ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม สัดส่วน 4% ของรายได้ทั้งหมด  และ 4. ธุรกิจเทรดดิ้ง สัดส่วน 3% ของรายได้ทั้งหมด

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มไตรมาส 4/2564 จะพลิกมีกำไรอีกครั้ง หลังโรงงานผลไม้อบแห้งกลับมา Operate ได้เต็มที่อีกครั้ง ขณะที่ธุรกิจ Frozen Food ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของ Traffic จำนวนลูกค้าเข้าร้าน 7-11 และบริษัททยอยออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง

โดยในไตรมาส 3/2564 มีการวางขาย Plant Based Food แบบ OEM ใน 7-11 และ Lotus’s และ ภายใต้แบรนด์ตนเอง Kitchen Plus ใน BigC และ Foodland และจะรับรู้รายได้เต็มไตรมาสในไตรมาส 4/2564

นอกจากนี้ล่าสุดยังมีการออกสินค้าใหม่ ซุปกิมจิ เต้าหู้อ่อน ภายใต้ แบรนด์ EZYGO วางขายใน 7-11 ทุกสาขา และคาดจะมีสินค้าใหม่อื่นๆอีกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี อย่างไรก็ตามด้วยผลกระทบ COVID-19 ในไตรมาส 3/2564 จึงปรับลดกำไรสุทธิปี 2564 ลงเป็น 15 ล้านบาท จาก 42 ล้านบาท แต่ยังการพลิกจากที่ขาดทุนในปีก่อน

ล่าสุดบริษัทประกาศซื้อธุรกิจลูกชิ้นทิพย์ในสัดส่วน 70% มูลค่า 590 ล้านบาท แหล่ง เงินทุนมาจากการเพิ่มทุน RO สัดส่วน 5.1 ราคา 0.9 บาท เงินที่จะได้รับจากการสิทธิแปลง GLOCON-W4 และเงินสดในกิจการ รวมถึงจะขออนุมัติออกหุ้นกู้อีก 1 พันล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำรอง

โดยลูกชิ้นทิพย์เน้นขายช่องทางการขายค้าปลีกผ่าน Kiosk กว่า 400 ร้านค้าทั่วประเทศ และเน้นขายส่งผ่านช่องทาง IT (ซึ่งเป็นช่องทางที่ GLOCON ไม่ถนัด น่าจะช่วยเสริมให้กับ GLOCON ได้ในระยะถัดไป) ส่วนช่องทาง MT ยังมีรายได้น้อยมาก ซึ่งเป็นช่องทางที่ GLOCON ถนัดและมีแผนนำลูกชิ้นทิพย์ ขยายเข้าไปในระยะถัดไปเช่นเดียวกัน น่าจะเห็น Synergy ระหว่างกันในอนาคต

อย่างไรก็ตามอิงข้อมูลงบการเงินจากกท.พาณิชย์พบว่าลูกชิ้นทิพย์มีรายได้และกำไรปี 2562 อยู่ที่ 774 ล้านบาท และ  632 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนรายได้และกำไรปี 2563 อยู่ที่ 67 ล้านบาท และ 38 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปี 2563 ถูกกระทบจาก COVID คาดดีลนี้จะแล้วเสร็จในเดือน ก.พ. 2565 จึงเริ่มรวมงบการเงินไว้ในประมาณการ

โดยคาดรายได้และกำไรปี 2565 ลูกชิ้นทิพย์ไว้ที่ 580 ล้านบาท และ 33 ล้านบาท (สัดส่วน 70%) นำไปสู่การปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 22.6% เป็น 179 ล้านบาท และรวมหุ้นเพิ่มทุน RO (Fuly Diluted) ซึ่งกำไรส่วนเพิ่มดังกล่าวสามารถหักล้างผล Dilution ได้ทั้งหมด จึงยังคงราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 1.5 บาท (ถึง PE เต็ม 25 เท่า) และคาดกำไรของลูกชิ้นทิพย์จะเติบโตจนเห็นผลบวกของกำไรต่อหุ้นส่วนเพิ่มได้ชัดเจนในปี 2566

Back to top button