OTO 3 สายน้ำใหม่.!
หลังจากบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยย้ายสำมะโนครัวจากครอบครัวบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ไปอยู่กับครอบครัว “บุญเอื้อ จิตรถนอม” เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว ก็ตามมาด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างบอร์ด ซึ่งก็เรียบร้อยไปแล้วเหมือนกัน
หลังจากบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยย้ายสำมะโนครัวจากครอบครัวบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ไปอยู่กับครอบครัว “บุญเอื้อ จิตรถนอม” เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว ก็ตามมาด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างบอร์ด ซึ่งก็เรียบร้อยไปแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้ก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ล่าสุดมี 3 ธุรกิจใหม่เข้ามาเติม ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น 3 สายน้ำใหม่ของ OTO..!!
สายน้ำแรก…ธุรกิจด้านผลิตงานซิลค์สกรีนเนมเพลท เลเบล สติ๊กเกอร์ ด้วยการไปซื้อหุ้นบริษัท ฮินซิซึ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 10% มูลค่า 175 ล้านบาท
โอเค…ก็เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ การเติบโตอาจไม่หวือหวา แต่คงโตได้เรื่อย ๆ ตามการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เลเบล สติ๊กเกอร์อยู่แล้ว…
สะท้อนได้จากผลประกอบการของฮินซิซึ (ประเทศไทย) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2561 มีรายได้ 475 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้ 581 ล้านบาท กำไรสุทธิ 87 ล้านบาท และปี 2563 มีรายได้ 583 ล้านบาท กำไรสุทธิ 86 ล้านบาท
ส่วนสายน้ำที่สอง…ธุรกิจสุขภาพและธุรกิจ Telepharmacy หรือการให้คำปรึกษาด้านเภสัชกรออนไลน์ ด้วยการส่งบริษัทลูก บริษัท อินโน ฮับ จำกัด ไปจับไม้จับมือกับบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP ตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาดำเนินการ โดยอินโน ฮับ จะถือหุ้นในสัดส่วน 50%
ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพ ซึ่งมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก…
และสายน้ำสุดท้าย…ธุรกิจ Social Bureau โดยล่าสุดไฟเขียวให้อินโน ฮับ เข้าไปลงทุนในบริษัท บล็อคเชน ไพรม์ โฮลดิ้ง จำกัด ใช้เงินไป 20 ล้านบาท แลกกับการถือหุ้น 20%
แหม๊…ดูท่าแล้ว OTO คงให้ อินโน ฮับ เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการไปแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ แน่ ๆ…
ขณะที่ความน่าสนใจของธุรกิจ Social Bureau นั้น เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลบูโรที่นำเทคโนโลยี Blockchain และ AI เข้ามาร่วมกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้านอาชญากรรม…ก็เป็นบิ๊กดาต้าที่ไว้ใช้ในการตรวจสอบข้อมูล หรือใช้แสดงตัวตนนั่นแหละ โดยจะมีการออกเหรียญโทเคนดิจิทัลที่ชื่อ JANDRA (JUTC) เป็นค่าตอบแทนสำหรับผู้แจ้งข้อมูลในแพลตฟอร์ม
โอเค…เบื้องต้นก็น่าสนใจอยู่แหละ…เป็นซีเคียวริตี้อีกตัวหนึ่ง แต่ติดนิ๊ดดดเดียวตรงที่บล็อคเชน ไพรม์ โฮลดิ้ง เป็นบริษัทที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่เอี่ยมอ่องเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2564 ด้วยทุนจดทะเบียน 4.95 ล้านบาท
ซึ่งถ้าไปดูรายชื่อกรรมการมี 3 คน แต่ละคนโปรไฟล์ไม่ธรรมดา ไล่มาตั้งแต่ “พ.ต.อ.ปองพล เอี่ยมวิจารณ์” อดีตมือปราบสายไซเบอร์และยังเป็นนักลงทุนบิตคอยน์อีกด้วย ส่วน “ธรรศ นิลมงคล” เป็นผู้ประกอบการนำเข้ารถหรู ขณะที่ “สรกฤต ลัทธิธรรม” เป็นอดีตลูกหม้อไทยเบฟ ที่ผันตัวมาทำน้ำสมุนไพรภายใต้แบรนด์ “เก๊กหล่อ”
แต่นี่คงไม่ใช่เครื่องการันตีว่าธุรกิจนี้จะซัคเซสหรอกนะ..?
อ้าว…แล้วทำไม OTO จึงกล้าไปลงทุนกันล่ะ..? อันนี้น่าคิด
เอาน่า ถ้ามองมุมบวก อย่างน้อย ๆ ก็ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ของ OTO ซึ่งน่าสนใจว่า 3 ธุรกิจใหม่ ธุรกิจไหนจะเป็นสายน้ำหลัก สายน้ำรอง และสายน้ำเสริม..?
แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้ OTO สลัดคราบจากคอลเซ็นเตอร์ได้สะอาดหมดจดแล้วจริง ๆ…
…อิ อิ อิ….