คัดสรรหุ้นปันผลเด่น!
CNS คัดกรองหุ้นปันผลเด่นครึ่งหลังปี 64 จากหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลสูงกว่า 2.3% มีปัจจัยพื้นฐานดี และอยู่ในจุดเหมาะสมในการเข้าซื้อ
เส้นทางนักลงทุน
เข้าใกล้เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2564 และครึ่งหลังของปี 2564 ราวเดือน มี.ค.-พ.ค. 2565 ทีมกลยุทธ์ บล.โนมูระ พัฒนสิน จึงรวบรวมหุ้นที่คาดจะจ่ายปันผลช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จากคาดการณ์ของ Central Nervous System : CNS เพื่อนำมาคัดสรรหุ้นปันผลเด่นสำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะ 1-2 เดือน แนะนำ High Yield & Earnings Growth
ทั้งนี้ ได้ทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่นครึ่งหลังของปี 2564 จากหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลสูงกว่า 2.3% ซึ่งเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และอยู่ในจุดเหมาะสมในการเข้าซื้อ อย่างกลุ่ม Big-Mid Cap ได้แก่ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB, บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL
ขณะที่กลุ่ม Small Cap ได้แก่ บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC, บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER, บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI และบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI
อย่างไรก็ตาม หุ้นดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นหุ้นพื้นฐานดีมีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง เบื้องต้นอย่างบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ประกาศผลประกอบการปี 2564 ออกมา พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6,781.47 ล้านบาท หรือ 8.47 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,063.48 ล้านบาท หรือ 7.57 บาทต่อหุ้น
สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจตลาดทุน โดยเฉพาะธุรกิจจัดการกองทุน การรับรู้กําไรจากเงินลงทุน และสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ลดลง
โดยในปี 2564 บริษัทมีรายได้ที่มิใช้ดอกเบี้ยขยายตัว 9.7% จากปีก่อนหน้า เป็นรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจจัดการกองทุนเพิ่มขึ้น 46.2% ซึ่งมาจากการออกกองทุนใหม่ที่ได้รับการตอบรับที่ดี ประกอบกับค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการ (Performance Fee) ที่รับรู้ในไตรมาส 4 อีกทั้งรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 8.1% ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้กําไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่เพิ่มขึ้น
ด้านนายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยว่า ทิศทางการเติบโตของสินเชื่อในปี 2565 มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ หลังจากปีที่ผ่านมาสินเชื่อมีการหดตัว โดยคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อในปี 2565 จะเติบโตได้ 4-5% โดยเฉพาะจากสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจ “สมหวัง” ที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ในปีนี้จะเน้นไปที่รถยนต์มือสอง และสินเชื่อรถแลกเงิน คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3-4% และกลุ่มสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มองว่าในปีนี้จะเห็นความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อรองรับการลงทุนต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจด้านพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในปีนี้มีโอกาสเติบโตเป็นเลข 2 หลัก
นอกจากนี้ บล.ฟิลลิป ยังคงประมาณการกำไรปี 2565 ไว้ที่ 7.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคาดสินเชื่อจะกลับมาเติบโตได้ นอกจากนี้ TISCO ยังเป็นหุ้นที่มีปันผลโดดเด่นในกลุ่ม โดยปี 2564 คาดว่าจะจ่าย 7 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ถึง 7% โดยยังไม่มีการจ่ายระหว่างกาล คงราคาพื้นฐาน 106 บาท แนะนำ “ทยอยซื้อ”
ขณะเดียวกัน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยเปิด 15 โครงการ มูลค่า 29.5 พันล้านบาท (14 โครงการแนวราบ 28.7 พันล้านบาท และ 1 โครงการคอนโดฯ The Ease พระราม 3 มูลค่า 820 ล้านบาท) เทียบปี 2564 ที่เปิด 10 โครงการแนวราบ 19.7 พันล้านบาท ทั้งนี้ 60% ของโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่ปีนี้ เปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 โครงการใหม่จึงมีเวลาการขายไม่เต็มปีทางบริษัทจึงตั้งเป้าจองแนวราบปี 2565 เติบโตเพียง 4% ที่ 28.8 พันล้านบาท ในเวลาเดียวกันทางบริษัทเปิดโครงการคอนโดฯ ใหม่แค่ 1 โครงการ และคาดบรรยากาศการขายสต๊อกพร้อมโอนดีขึ้น จึงตั้งเป้าจองคอนโดฯ 2.1 พันล้านบาท เทียบยอดจองคอนโดฯ ปี 2564 ที่ 859 ล้านบาท ดังนั้นภาพรวมเป้าจองปี 2565 เติบโต 8%
ล่าสุด ทางนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ประเมิน Backlog แนวราบและคอนโดฯ ที่ 3.3 พันล้านบาท และ 2.4 พันล้านบาท ซึ่งจะยกมาโอนปี 2565 ส่วนที่เหลือมาจาก 2 ส่วน 1) การโอนยอดจองแนวราบระหว่างปี 2565 (คาดยอดจองแนวราบ 28.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% ซึ่งคาดโอนในปี 2565 ได้ราว 24.6 พันล้านบาท) และ 2) การขายสต๊อกพร้อมโอน 800 ล้านบาท ซึ่งทางฝ่ายประเมินอัตราการขายสต๊อกใกล้กับปีก่อนที่ 859 ล้านบาท
ดังนั้นทางฝ่ายคาดยอดโอนรวมที่ 31.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% ขณะที่คาด GPM อ่อนลงเล็กน้อย เพราะราคาวัสดุก่อสร้างดันต้นทุนการพัฒนาโครงการขึ้น อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายเชื่อธุรกิจเช่าจะกลับมาฟื้นตัวจากอัตราการพักโครงการเดิมดีขึ้น และ 3 โครงการใหม่ (ต่างประเทศ โรงแรม Springhill/ในประเทศ : ศูนย์การค้า Terminal 21 พระราม 3 และโรงแรม Space พัทยา) รายได้ธุรกิจเช่ากลับมาเติบโต 57%
พร้อม Margin ที่ดีขึ้น อีกทั้ง บ. ร่วม โดยเฉพาะ HMPRO และ QH น่าจะดีขึ้น หนุนส่วนแบ่งกำไรเพิ่ม 9% คาดกําไรปกติเพิ่มขึ้น 13% นอกจากนี้ทางบริษัทมีแผนขายอาคารที่พักอาศัยที่สหรัฐฯ ที่ขาดช่วงไปในปีก่อน คาดจะมีกําไร 400 ล้านบาท ทำให้กําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 18% เป็น 7,860 ล้านบาท
ทั้งนี้แนวโน้มกําไรยังไปได้ดี โดยปีนี้จะมีมิติการเติบโตธุรกิจเช่า และ บ. ร่วม เป็นส่วนเพิ่มจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไปได้ดี ราคาหุ้นล่าสุดยังซื้อขาย P/E ปี 2565 ตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (14 เท่าเทียบ 16 เท่า) และอัตราการจ่ายปันผลที่ดี 6% คงคำแนะนํา “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปรับเป็น 10 บาท
อย่างไรก็ดีหุ้นดังกล่าวสะท้อนว่าบริษัทมีพื้นฐานดี และยังมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงอีกด้วย!!!