พาราสาวะถี
ยังคงถูกจับตามองต่อเนื่องจากกรณีพรรคสืบทอดอำนาจขับ ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมพวกรวม 21 คนพ้นจากพรรค ด้วยข้อหาสร้างความขัดแย้งแตกแยกภายในพรรค
ยังคงถูกจับตามองต่อเนื่องจากกรณีพรรคสืบทอดอำนาจขับ ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมพวกรวม 21 คนพ้นจากพรรค ด้วยข้อหาสร้างความขัดแย้งแตกแยกภายในพรรค ก่อนที่จะตามมาด้วยข่าว สมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.โคราช ซึ่งเป็น 1 ในส.ส.ที่ถูกขับออก จะทำหนังสือถึงพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ในฐานะหัวหน้าพรรค เพื่อขอให้ทบทวนมติพรรคที่ให้สมาชิกออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 19 มกราคม โดยสาธยายเหตุผล อ้างหลักการยาวเหยียดถึง 8 หน้า
สาระสำคัญที่สรุปได้คือ ส.ส.รายนี้อ้างว่าไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าธรรมนัสจะเสนอให้มีการปรับโครงสร้างขนานใหญ่ตามที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคแถลง พร้อมแสดงตัวว่าไม่เคยเรียกร้อง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่มีส่วนร่วมใด ๆ ในการเสนอข้อเรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างพรรคของธรรมนัสกับพวก และอ้างด้วยว่าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีชื่อตัวเองเสนอต่อที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุมส.ส. เพื่อพิจารณาว่าตัวเองและธรรมนัสพร้อมพวกรวม 21 คน เรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างพรรค
งานนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน นี่เป็นภาพสะท้อนของนักเลือกตั้งที่ผ่านการเจรจาต่อรองมาแล้วอย่างแท้จริง ตามที่ ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร คนสนิทของธรรมนัสระบุ วันนี้ส.ส.เบี้ยวออกมาบอกว่าไม่รู้เรื่องในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ในการโดนขับออกจากพรรค โดยตั้งข้อสังเกตว่าในวันลงมติขับส.ส.ทุกคน โดยเฉพาะสมศักดิ์มาถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น มีเวลาถึงเกือบ 3 ทุ่ม ขั้นตอนในการประชุมมีหลายขั้นตอนไม่ว่าจะเรียกมาคุยกันก่อน ตามด้วยประชุมกับหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคประชุมกันเอง และมาประชุมร่วมกับสมาชิกพรรค
แน่นอนว่าทุกขั้นตอนมีการหารืออย่างเผ็ดร้อน สิ่งที่ไผ่แฉก็คือคนที่อ้างว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยนั่งอยู่หลังตัวเอง แต่กลับบอกไม่รู้เรื่องด้วยไม่รู้เรื่องมาก่อน และที่สำคัญตอนยกมือขอมติจากสมาชิกพรรคตัวเองก็ยกมือด้วย หรือว่าเวลานั้นโดนของอะไรมา พอเวลาผ่านไปสองวันคนไม่รู้เรื่องกลายเป็นคนเก่งขึ้นมาร่างจดหมายได้ยาวเหยียด หลักการครบทุกอย่าง ความจำดีจำทุกอย่างทุกขั้นตอนได้หมด น่าสนใจตรงสิ่งที่ไผ่ตั้งคำถาม “ที่พี่จำได้อาจจะไม่ใช่ที่พี่จำได้ แต่อาจจะเพราะพี่ไปพบใครมารึเปล่าครับ”
ความจริงของนักเลือกตั้งก็เหมือนอย่างที่ไผ่ซึ่งตีจากเพื่อไทยไปเข้าคอกพรรคสืบทอดอำนาจ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ย้ายหนีไปไหนนั่นแหละ แต่ก็ต้องขีดเส้นใต้สิ่งที่พูดถึงส.ส.เบี้ยว “สงสารประชาชนมากที่มีส.ส.แบบนี้ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขนาดนั่งประชุมขนาดนี้ และที่โหวต ๆ มารู้เรื่องบ้างมั้ย นี่ไม่รู้เรื่องขนาดโทรมาบอกว่าผมดีใจมาก ผมรอมานานแล้วด้วยนะเนี่ย หรือพี่ได้ยาวิเศษอะไรเข้าไปเลยเปลี่ยนพี่ไปขนาดนี้ แล้วสุดท้ายพี่จะไปอยู่พรรคไหน RIP ครับพี่”
ไม่ว่าบทสรุปของกรณีนี้จะจบลงแบบไหน แต่การไล่ธรรมนัสพ้นพรรคสืบทอดอำนาจ อาจได้เพียงแค่ความสะใจที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเท่านั้น หากแต่กระบวนการบริหารจัดการเสียงในสภาผู้แทนราษฎร จะกลายเป็นงานยากและทุกอย่างต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ขณะเดียวกันพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ที่มองว่าน่าจะถอดใจต่อการกุมบังเหียนพรรคแกนนำรัฐบาล แต่เมื่อสแกนกันอย่างละเอียดแล้ว กลับพบว่าการไปของธรรมนัสไม่ได้ทำให้พี่ใหญ่ใจฝ่อแต่อย่างใด
เห็นได้จากการที่ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ซึ่งเป็นเหมือนมือซ้ายของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ไม่ได้ร่วมขบวนไปกับธรรมนัสด้วย นั่นหมายความว่ายังมีมือการเมืองที่ช่วยเดินเกมดูแลคนในก๊วนที่ยังอยู่ในคอกพรรคสืบทอดอำนาจต่อไป ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าพี่ใหญ่มีเสียงอยู่ในกำมือถึง 2 สายคือ สายหนึ่งใช้ต่อรองภายในรัฐบาลในนามของพรรคสืบทอดอำนาจ อีกด้านคือเสียงของ 21 ส.ส.ซีกธรรมนัสที่ทุกครั้งหากรัฐบาลไม่อยากให้งานสำคัญในสภาติดขัดก็ต้องเลือกใช้บริการและมีต้นทุนที่ต้องจ่าย
จะเห็นได้ว่าในซีกของธรรมนัสนั้นไม่ได้มีแค่จำนวนส.ส.ที่ถูกขับออกไปด้วยกัน แต่ยังมีส.ส.จากพรรคเล็กที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมก๊วนด้วย ทำให้มองเห็นว่าอย่างน้อยก็จะมีเสียงอยู่ในมือเกือบ 30 เสียง ฟากของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. พอตรวจตราดูแนวร่วมในพรรคสืบทอดอำนาจก็มีส.ส.สายตรงเกือบ 60 เสียง หากไม่ถูกปฏิบัติการยื่นหมูยื่นแมวเพื่อชิงตัวตัดหน้าในระหว่างช่วงชุลมุนนี้ นี่คือพลังเสียงที่พี่ใหญ่กุมไว้ใช้คุยกับน้องรักทั้งสองคน โดยเฉพาะน้องเล็กว่าอย่าได้คิดหักหลังกันเป็นอันขาด
ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่นั่งอยู่ในอำนาจ อ่านกันออกว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจใช้ปฏิบัติการไอโอเพื่อด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามและสร้างคุณค่า ยกหางให้กับตัวเองมาโดยตลอด แต่กับการเมืองไม่ว่าจะเปิดปฏิบัติการอย่างไร แต่หากไร้การลงทุนที่ถึงใจพระเดชพระคุณท่านก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จ ยิ่งที่มีการมองกันว่าจะมีการรุกคืบในการช่วงชิงการนำในพรรคสืบทอดอำนาจด้วยแล้ว ยังมองไม่เห็นว่ามันจะสำเร็จได้อย่างไร
บรรดาเสนาบดีที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเรียกใช้บริหารนั้น มีแต่พวกสอพลอที่พร้อมรับใช้ทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงเสียงภายในพรรคยังห่างชั้นกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. มิหนำซ้ำ บางรายยังถูกนักเลือกตั้งในพรรคไล่ให้พ้นไปจากตำแหน่งเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากทำตัวอยู่บนหอคอยงาช้าง หมางเมิน ห่างเหินกับนักเลือกตั้งเหมือนอยู่กันคนละระดับ ดังนั้นสิ่งที่จะเป็นสัญญาณเตือนไปถึงเสถียรภาพของท่านผู้นำก็คืองานในสภาที่ต้องใช้เสียงของส.ส.
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้ว ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ก็เกิดเหตุสภาล่มเป็นครั้งที่ 13 เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ จน สุชาติ ตันเจริญ ที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมต้องสั่งปิดการประชุมทันที วันเดียวกัน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม โดยสิ่งที่ผู้สื่อข่าวรายงานกับที่โฆษกกลาโหมแถลงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยโฆษกอ้างว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอารมณ์ดี ไม่เครียด หยอกผบ.เหล่าทัพในการประชุมอยู่ตลอดเวลา แต่นักข่าวรายงานว่าท่านผู้นำมีอารมณ์เซ็ง ๆ รีบร้อน แม้แต่วาระบรรยายสรุปยังตัดบทให้ยกเลิก และเดินหน้าการประชุมเองอย่างรวดเร็วและจบภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พร้อม ๆ กับวลีทองทิ้งท้าย “ผมเข้ามาแก้ปัญหา ขอให้ทุกคนช่วยกัน” นี่คืออาการที่แสดงออกว่าสถานการณ์จากนี้ไปจะเริ่มไม่ปกติขึ้นเรื่อย ๆ