พาราสาวะถี
ความปราชัยอย่างหมดรูปของพรรคสืบทอดอำนาจในสนามเลือกตั้งซ่อมเขต 9 กทม. ไม่ได้แค่เป็นการตอกย้ำภาพความตกต่ำในคะแนนนิยมของรัฐบาลเรือเหล็กเท่านั้น
ความปราชัยอย่างหมดรูปของพรรคสืบทอดอำนาจในสนามเลือกตั้งซ่อมเขต 9 กทม. ไม่ได้แค่เป็นการตอกย้ำภาพความตกต่ำในคะแนนนิยมของตัวผู้นำเผด็จการและรัฐบาลเรือเหล็กเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการเปิดแผลขยายผลให้เห็นความขัดแย้งแตกแยกภายในพรรคสืบทอดอำนาจชนิดยากที่จะประสานกันได้อีกต่อไป และแทบจะไม่ต้องตีความต่อวลีทองของ ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ว่า “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” นั้นหมายถึงใคร
ในการวิเคราะห์สัญญาณของธรรมนัสจากปากของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) แม้จะต้องการเรียกเสียงหัวเราะจากคนรับสาร แต่สิ่งที่สื่อออกมานั้นล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำอธิบายถึงศัตรูที่คือพรรคพลังประชารัฐ และมิตรที่เสี่ยเต้นเล่นคำพ้องเสียงว่าคือผู้นำเผด็จการสืบทอดที่ผู้กองธรรมนัสต้องการจะแทงให้มิดด้ามก็ตาม ทั้งหมดก็ล้วนฉายให้เห็นภาพว่าพรรคแกนนำรัฐบาลแบ่งก๊ก แบ่งเหล่าอย่างหนัก จนขาดความเป็นเอกภาพ และจะกระทบไปยังเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอน
แม้ว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.จะยืนยันไม่มีปัญหาพร้อมกับการตีตราว่า “พรรคของผม” แต่ความเป็นจริงก็คืออำนาจในการนำนั้นไม่ได้ถูกลดทอนและยังมีอยู่เต็มเปี่ยม ทว่าความสามารถในการบริหารจัดการให้นักเลือกตั้งที่เป็นบรรดาพวกเขี้ยวลากดินทั้งหลายอยู่ในโอวาทและเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนเมื่อก่อนเลือกตั้งปี 2562 นั้น มันไม่ใช่อีกต่อไป ยิ่งผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 9 กทม.ออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้ต้องคิดกันหนักหากสถานการณ์ของประเทศไม่กระเตื้องไปจนถึงวันหย่อนบัตร ทุกอย่างเป็นอันจบเห่
ไม่ว่าจะพยายามพลิกแพลงกันอย่างไร ในความเป็นจริงก็คือตลอดระยะเวลาที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบริหารประเทศมานั้น ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อะไรที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีเพียงโครงการที่แจกสะพัดแต่เป็นไปในลักษณะเหมือนไฟไหม้ฟาง ไม่ได้สร้างความมั่งคั่งจนนำไปสู่ความยั่งยืนให้กับคุณภาพชีวิตของประชาชนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะลืมตาอ้าปากกันได้อย่างไร ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง
ขบวนการสืบทอดอำนาจอาจมั่นใจต่อกลไกที่ได้วางไว้ อย่างไรเสียก็จะยังคงทำให้องคาพยพที่มีอยู่สามารถยืนระยะกันได้ต่อไป หากลองไปสอบถามความมั่นใจส่วนตัวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ นาทีนี้คงบอกได้คำเดียวว่าเสียวสันหลังเป็นอย่างมาก ถึงขนาดว่าที่เคยประกาศจะลงจากหลังเสือต้องฆ่าเสือนั้น อาจไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว การอยู่ยาวแทนที่จะทำให้รู้สึกตัวเองมั่นคงและผู้คนสรรเสริญ ยิ่งนานวันกลายเป็นยิ่งเสื่อม และมองไปแล้วการลากยาวไปเรื่อย ๆ นั้นมีแต่สาละวันเตี้ยลง
อย่างที่ณัฐวุฒิให้ความเห็นว่า ความเป็นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่สามารถนำมาโฆษณาขายได้เหมือนกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ขณะที่พรรคสืบทอดอำนาจจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ความแตกแยกภายใน ทำท่าว่าพรรคจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ทำให้ประชาชนที่เคยให้ความเชื่อมั่น ถอนใจ ถอนตัวออกมา เหตุการณ์แบบนี้เกิดเป็นคำถามด้วยซ้ำไปว่า เลือกตั้งใหญ่คราวหน้าจะยังมีพลังประชารัฐเป็นพรรคหลักพรรคหนึ่งในสนามหรือไม่
ปัจจัยความขัดแย้งภายในพรรคสืบทอดอำนาจที่มีอยู่แล้วและทำให้เห็นว่าน่าจะเอาไม่อยู่เมื่อคราวตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จนพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ได้อาสาเข้าไปเคลียร์ด้วยการนำตัวเองไปนั่งเป็นหัวหน้ากุมบังเหียน และเชื่อว่าเอาอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามนั้น เมื่อเห็นได้ชัดว่าน้องเล็กน้องรักเองก็พยายามที่จะเข้าไปแทรกแซงแย่งคนที่ตัวเองไปบริหารจัดการมาเป็นสายตรงของตัวเอง เพื่อหวังว่าจะสามารถขจัดการต่อรองของกลุ่มหลัก ๆ ภายในพรรคได้
กลายเป็นว่ายิ่งไปเพิ่มความขัดแย้งให้หนักข้อมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงมีคำถามจากคนภายนอกและเสียงวิจารณ์ภายในพรรคสืบทอดอำนาจเองว่า พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.จะยังคงกัดฟันกุมบังเหียนพรรคนี้ต่อไปหรือไม่ หรือจะปล่อยให้น้องเล็กเข้ามากุมอำนาจเองโดยใช้มือไม้สายตรงทั้งหลายมาช่วยดูแล ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการที่จะปล่อยให้พรรคแตกสลายไปเองตามธรรมชาติ เพราะส.ส.ส่วนใหญ่สบายใจที่จะสนับสนุนพี่ใหญ่และเครือข่ายมากกว่า
ประการสำคัญที่จะลืมไม่ได้เป็นอันขาดสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่นก็คือ วาระในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจนห้ามเกิน 8 ปี ขณะที่ตัวเองก็ประกาศปาว ๆ ว่าให้ทุกคนเคารพกฎหมาย จุดนี้ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ท่านผู้นำและเนติบริกรที่คอยแก้ลำเรื่องข้อกฎหมายให้ต้องคิดหนัก เหนือสิ่งอื่นใดหากเป็นนักมวยคงต้องหันไปมองพี่เลี้ยงที่มุมของตัวเองว่าจะให้ทำอย่างไร ในที่นี้ก็คือฝ่ายอำนาจนิยมที่กำหนดแนวทางกันมาตั้งแต่ต้น
บนถนนสายความขัดแย้งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่ามีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นกันมาโดยตลอด ตั้งแต่คราวคมช.เป็นรัฐบาลขิงแก่ กระทั่งรัฐบาลในค่ายทหาร คนเหล่านั้นต่างถูกชูขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะล้มความนิยมที่มีต่อระบอบทักษิณที่ฝ่ายอำนาจนิยมอุปโลกน์ขึ้นมาให้คนที่ไม่รู้เท่าทันเกิดความหวาดกลัว แต่ก็เสียของ กระทั่งมาถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ดูเหมือนว่าจะทำสำเร็จ พอยืนระยะยาวก็เข้าสู่สัจธรรมการเมืองที่ว่า อยู่นาน ไร้ผลงาน ประชาชนเบื่อหน่าย ต้องการไล่ลงจากเวที
ด้วยโจทย์ที่ขบวนการสืบทอดอำนาจวางไว้ต้องไม่ให้ระบอบทักษิณฟื้นคืนชีพ หรือฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยได้กลับมากุมอำนาจ จึงไม่มีทางที่จะยกธงขาวยอมแพ้เป็นอันขาด อยู่ที่ว่าจะหาผู้เล่นหน้าใหม่มาเสียบแทนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้อย่างไร ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้การชูความเป็นคนดีมาเป็นทางเลือกให้ประชาชนคงไม่สามารถเรียกความนิยมได้อีกแล้ว เพราะท่านผู้นำได้ทำให้เห็นแล้วว่าดีอย่างเดียวแต่ทำงานไม่เป็นก็ไร้ประโยชน์ การแช่แข็งประเทศและปฏิรูปแบบถอยหลังลงคลองตลอดเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา ช่วยทำให้พวกที่เคยมืดบอดก่อนหน้าตาสว่างกันขึ้นมาจำนวนมากทีเดียว