“เมย์แบงก์” ลดเกรดท่องเที่ยว! ชี้ Q1 ยอดพักโรงแรมซึม-ต้นทุนวัตถุดิบสูง แนะขาย CENTEL  

นางสาวยุวนีย์ พรหมาภรณ์ นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (4 ก.พ. 2565) ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าราคาหุ้นในภาคท่องเที่ยวโดยรวมปรับตัวขึ้นในปีนี้เฉลี่ย 4% ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 4/2564 คาดการณ์หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบล.เมย์แบงก์ ดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากเป็นฤดูกาลที่มีนักท่องเที่ยวมากและค่อนข้างควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้

ขณะที่มีการประเมินในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 อัตราการเข้าพักของโรงแรมจะลดลง โดยเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโอมิครอน และประเทศไทยมีการปิดพรมแดนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ถึงมกราคม 2565 ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบอาหารที่สูงขึ้นอาจทำให้ขาดทุนเพิ่มอีก ผลดังกล่าวจึงยังคงมีความน่ากังวลอยู่

เบื่องต้นทางบล.เมย์แบงก์ ได้ปรับลดคำแนะนำลงในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อย่าง บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ลงเป็นแนะ “ขาย” พร้อมลดอันดับคำแนะนำ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)  หรือ MINT เป็น “ถือ”

สำหรับการปรับลดอันดับมีขึ้นในขณะที่ราคาหุ้น CENTEL สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 แม้ว่ามีความท้าทายต่อภาคโรงแรม เช่น เงินเฟ้อต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหาร

โดยนางสาวยุวนีย์ เชื่อว่ายากที่จะโยนความท้าทายเช่นนั้นไปให้ลูกค้าภัตตาคารในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี และมีความเห็นว่า หุ้น CENTEL มีความเสี่ยงมากสุดต่อราคาหมูและราคาน้ำมันปาล์มที่สูงขึ้น เนื่องจาก 60% ของรายได้ปกติของบริษัทมาจากธุรกิจภัตตาคาร

ทั้งนี้ทางกลับกัน MINT จะได้รับผลกระทบจากอัตราการเข้าพักที่ลดลงและอัตราเงินเฟ้อของราคาอาหาร  และคาดว่า MINT จะมีอัตราการเข้าพักแข็งแกร่งสุด  50% ในช่วงไตรมาส 4/2565 แต่คาดว่าอัตราการเข้าพักของกลุ่มในช่วงไตรมาส 1/2565 ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับหุ้นอื่นๆที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบริษัท

อย่างไรก็ตาม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด ( มหาชน ) หรือ AOT ยังคงเป็นหุ้นเดียวในภาคท่องเที่ยวที่บล.เมย์แบงก์ แนะนำให้ “ซื้อ” เนื่องจากได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเป็นหลักเพราะว่าปัจจัยพื้นฐานดี และมีสถานะเป็นประตูสู่ประเทศไทย