เปิด 12 หุ้นอิงเศรษฐกิจ
กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 65 จะขยายตัวขึ้นมาอยู่ในช่วง 4% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่ขยายตัว
เส้นทางนักลงทุน
จากกรณีกระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ในช่วง 4% (มีช่วงคาดการณ์ที่ 3.5-4.5%) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่ขยายตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เริ่มมีผลกระทบในวงจำกัด
รวมทั้งคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2565 จะขยายตัวที่ 4.5% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาขยายตัวได้หลังจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศผ่านระบบ Test & Go อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 7 ล้านคน ส่วนด้านการส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6% ตามอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมองว่าการดำเนินนโยบายของภาครัฐ จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เนื่องจากภาครัฐจะมีการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจวงเงิน 3.07 แสนล้านบาท รวมทั้งเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท ในส่วนที่เหลือก็คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ทั้งนี้จากปัจจัยข้างต้น ทำให้คาดว่าการบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ 1.2% และ 3.7% ในปี 2565 ตามลำดับ สำหรับแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ รวมทั้งการลงทุนในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 5% ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.9% (มีช่วงคาดการณ์ที่ 1.4-2.4%) ยังอยู่ภายในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันกำหนดที่ระดับ 1-3%
ประเด็นดังกล่าวข้างต้น บล.เอเชีย เวลท์ มองเป็นบวกต่อหุ้นอิงเศรษฐกิจ ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS, บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW
สุดท้าย บล.เอเชีย เวลท์ เลือก HMPRO, BEM, AOT, WHA เป็นหุ้นเด่น ขณะเดียวกันหากแยกหุ้นเด่นออกมาพบว่า โบรกฯ อื่นยังคงแนะ “ซื้อ” เช่นกัน เพราะมองว่าผลงานในปี 2565 จะอยู่ในทิศทางสดใส
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO โดยทาง บล.เอเซีย พลัส ยังคงประมาณการกำไรปี 2565 ไว้ที่ 6.0 พันล้านบาท เติบโต 14.4% เชื่อว่าเป็นบริษัทแรก ๆ ในกลุ่ม Reopening ที่กลับมาฟื้นตัวถึงระดับก่อนโควิดได้ แม้ฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐานไว้อย่างอนุรักษ์นิยม ทั้งยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ทั้งปีที่ 3.5% รวมถึงรายได้ค่าเช่าที่ยังให้มีส่วนลดจากช่วงปกติเทียบกับแนวโน้มการฟื้นตัวธุรกิจ HMPRO ยังคงมีความต่อเนื่องในช่วงต้นปี แม้ปริมาณลูกค้าจะลดลงไปบ้าง ตามความกังวลโควิดสายพันธุ์โอมิครอนระบาดในประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้แต่ระยะสั้นยังได้ผลบวกสูงกว่าจากการขายสินค้าต่อใบเสร็จแพงขึ้น ภายใต้อานิสงส์ที่ได้จากมาตรการช้อปดีมีคืน หนุน SSSG จากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบันสูงราว 5% และหากพิจารณาแนวโน้มช่วงที่เหลือของปี ซึ่งสถานการณ์โอมิครอนในประเทศกำลังดีขึ้นเป็นลำดับ แม้ผู้ป่วยโควิดจะสูง แต่อัตราป่วยหนักและตายถือว่าอยู่ในลำดับต่ำ จึงคาดหวัง SSSG ระยะถัดไปที่เชื่อขยับเพิ่มขึ้นได้สูงกว่าช่วงต้นปี ดีกว่าสมมติฐานทั้งปีที่ทำไว้ดังกล่าว
ขณะที่สมมติฐาน Net Margin ยังกำหนดไว้เพียง 9.4% เทียบกับช่วงก่อนโควิดที่ 9.8% จากรายได้ค่าเช่าที่ยังประเมินยังต้องให้ส่วนลด ซึ่งหากปริมาณลูกค้าใช้บริการฟื้นตัวเร็ว คาดมี Upside จากส่วนดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด โดยยังลดลงราว 11% เทียบกับราคาหุ้นสิ้นปี 2562 เชื่อว่าไม่สอดคล้องกับภาพกำไรที่กำลังจะฟื้นตัวสู่ระดับดังกล่าว ประกอบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 16 บาท ยังให้ Upside ลงทุนได้ แนะนำ “ซื้อ” รับการฟื้นตัว
บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดย บล.เคทีบีเอสที ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 250% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคงสมมติฐานผู้ใช้ทางด่วน และผู้โดยสารรถไฟฟ้าที่ 1.1 ล้านเที่ยวต่อวัน เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 2.7 แสนเที่ยวต่อวัน เพิ่มขึ้น 85% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
แม้ในช่วงวันทำงานสัปดาห์แรกเดือน ม.ค. 2565 จำนวนผู้ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าลดลงมาอยู่ที่ 9.4 แสนเที่ยวต่อวัน และ 1.96 แสนเที่ยวต่อวัน ตามลำดับ จากผลกระทบการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ Omicron แต่คลายกังวลมากขึ้นหลังจากที่สถานการณ์การระบาดเริ่มทรงตัวและเคสส่วนใหญ่ไม่รุนแรง ทำให้ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2565 ศบค. ได้ประกาศคลายมาตรการเร็วขึ้น ซึ่งรวมถึงการผ่อนคลายนโยบาย Work from Home
ดังนั้นคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มโดยรวมปี 2565 ที่จะกลับมาฟื้นตัวสูง ขณะที่หุ้น BEM ยังมี catalyst จากความคืบหน้าสายสีส้มที่คาดจะเปิดขายซองในครึ่งหลังของปี 2565 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT โดย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าแม้ขาดทุนงวดบัญชีไตรมาส 1/2565 (สิ้นสุด ธ.ค. 2564) คิดเป็นสัดส่วน 56.1% ของประมาณการฝ่ายวิจัย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบมาตรการจำกัดการเดินทาง การระบาดโอมิครอนในประเทศที่ค่อนข้างจำกัด สะท้อนจำนวนผู้ใช้บริการ 1-15 ม.ค. 2565 หากประเมินจำนวน ผู้ใช้บริการต่อวัน แม้ลดลงราว 28% เทียบจาก ธ.ค. 2564 ที่เห็นผลบวกมาตรการเปิดประเทศ แบบ Test & Go เต็มที่ แต่ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของจำนวนผู้ใช้บริการในประเทศ บวกกับสถานการณ์ระบาดในประเทศดีกว่าคาด ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 1.0 หมื่นรายต่อวัน ดีกว่ากรณีดีสุดที่ภาครัฐฯ ประเมินไว้ในช่วงปลายปี
รวมทั้งสายพันธุ์ดังกล่าวยังมีแนวโน้มเปลี่ยนโควิดไปเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งคาดนำมาสู่การกลับมาดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติหลังจากนั้น สถานการณ์ดังกล่าวเชื่อว่านำมาสู่การกลับมาเปิดประเทศ Test & Go เร็ว โดยมีลุ้นตั้งแต่เดือน ก.พ. 2565 เชื่อหนุนช่วงที่เหลือดีขึ้นเป็นลำดับ และมีโอกาสที่จะดีขึ้นอย่างมีนัย หากพิจารณารูปแบบการฟื้นตัวในช่วงแรกของการเปิดประเทศรับ Test & Go ที่เห็นผู้ใช้บริการเส้นทางต่างประเทศเติบโตก้าวกระโดดทันที คือเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวในระยะเวลา 2 เดือนหลังเปิดประเทศ จึงคงขาดทุนปีบัญชี 2565 ลดลง 63% ไว้ก่อน และฟื้นมีกำไร 1.31 หมื่นล้านบาทในปีบัญชี 2566
ทั้งนี้ ในกรณีเลวร้าย หากเกิดสถานการณ์ อาทิ ในกรณีรัฐฯ อาจมีแนวคิดเลื่อนการเปิดประเทศออกไป ประเมินไม่น่าทำให้การฟื้นตัวล่าช้าเกิน 3-6 เดือน ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ส่งผลต่อมูลค่าระยะยาว โดยทุก ๆ ผู้ใช้บริการสนามบินลดลง 25% จากสมมติฐานผู้ใช้บริการปีบัญชี 2565 จะกระทบขาดทุนเพิ่มขึ้น 27.8% และมูลค่าหุ้นเพียง 0.3 บาท เนื่องจากฝ่ายวิจัยใช้วิธีประเมินมูลค่าธุรกิจโดยอิงวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF)
ภายใต้จุดเด่นผูกขาดบริการสนามบินหลัก นอกจากช่วยในเรื่องการฟื้นตัวที่มีความแน่นอนสูงในระยะกลาง-ยาว ยังช่วยให้มีช่องทางต่อยอดธุรกิจได้อีกมาก ซึ่งปัจจุบัน AOT มีแผนเตรียมการรองรับในช่วงฟื้นตัวเป็นอย่างดี อาทิ การต่อยอดธุรกิจเชิงพาณิชย์ต่าง ๆ เช่น บริการภาคพื้นในสนามบิน, บริการที่เกี่ยวข้องการตรวจสอบคุณภาพส่งสินค้าอาหาร และเกษตรก่อนส่งออก รวมถึงแผนการให้สัมปทานธุรกิจต่าง ๆ ดำเนินในโครงการ Airport City ทั้งที่ดินผืนบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีการขยายอายุสัญญาเช่าให้ยาวขึ้นแล้ว
รวมถึงพื้นที่ดินอีกแห่งที่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่ง AOT ได้ขอเปลี่ยนแปลงผังเมืองเพื่อรองรับโครงการเชิงพาณิชย์พื้นที่ดังกล่าว ขณะที่ในส่วนราคาหุ้นนับจากโอมิครอนระบาดปลาย พ.ย. 2564 ปรับตัวลดลงแล้วราว 8.2% เชื่อว่าอยู่ในโซนน่าสะสมรอรับการฟื้นตัว กอปรกับมูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 69.60 บาท กลับมามี Upside เปิด 13.6% คงคำแนะนำ “ซื้อ”
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA โดย บล.กรุงศรี คาดปี 2565 กำไรเติบโตเล็กน้อย เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคาดกำไรจากธุรกิจนิคมฯ จะเติบโตและชดเชยกำไรที่ลดลงของการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ คาดยอดขายที่ดินจะเพิ่มขึ้นจาก 1,020 ไร่ (641 ไร่ที่นิคมฯ, 340 ไร่ ไม่ใช่นิคมฯ, 40 ไร่เวียดนาม) ในปี 2564 เป็น 1,285 ไร่ ในปีนี้เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีลูกค้ามากกว่า 2,000 ไร่อยู่ระหว่างเจรจา คาดยอดโอนที่ดินจะเพิ่มขึ้น (590 ไร่ในปีที่ผ่านมา ซึ่งรวม 340 ไร่ไม่ใช่ที่ดินนิคมฯ) จาก backlog กว่า 710 ไร่
นอกจากนี้ WHA เซ็นสัญญาเช่าคลังสินค้าและโรงงานได้สูงกว่าคาดการณ์ของเรา เป็นสัญญาระยะยาว 175,000 ตร.ม. และระยะสั้น 170,000 ตร.ม. คาดบริษัทจะคงเป้าเดิมปีนี้ แต่กำไรขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์จะลดลง เนื่องจากสัดส่วนการถือครองน้อยลง และโครงสร้างการขายสินทรัพย์ คาดบริษัทจะขายทรัพย์สิน 180,000 ตร.ม. (BTS 130,000 ตร.ม. และ RBF & RBW 50,000 ตร.ม.) แต่ 65,000 ตร.ม. ของ BTS เป็น ของ JV (WHA ถือหุ้น 50%) เทียบกับ 160,179 ตร.ม. ปีก่อนและถือหุ้น 100% และ สิทธิการเช่ายาว 60 ปี ธุรกิจไฟฟ้าและน้ำจะดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการกลับมาดำเนินงานของ Gheco-One, โซลาร์หลังคา COD เพิ่ม และขาดทุนจาก Duong River ลดลง คาดอัพไซด์ 473 ล้านบาท จากการขึ้นราคาขายน้ำ 25% ของ Duong River แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท
ท้ายสุดแล้วหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว หุ้นดังกล่าวก็จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น!