พาราสาวะถี
ติดเชื้อโควิด-19 ทะลุหลักหมื่นรายต่อวันไปแล้ว ถามว่าจะให้ประชาชนทำตัวอย่างไร ฟังนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงแถลงไข
ติดเชื้อโควิด-19 ทะลุหลักหมื่นรายต่อวันไปแล้ว ถามว่าจะให้ประชาชนทำตัวอย่างไร ฟังนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงแถลงไข ไม่ต้องตระหนกตกใจ พร้อมการอธิบายด้วยภาษาทางการแพทย์แบบหมอการเมือง ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์และจะกระเพื่อมอย่างนี้ต่อไปอีก 3 สัปดาห์ เอ๊ะ!จำได้ว่าไม่กี่วันก่อนหน้า เพิ่งตั้งโต๊ะชี้แจงกันไปว่าสถานการณ์ทรงตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น จึงถึงกล้าที่จะประกาศเรื่องทำให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น
นี่แหละจังหวะก้าวของหมอการเมือง เรื่องตัวเลขจริงหรือใช้เล่นเกมอะไรกัน ไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่คนทั่วไปอยากรู้คือ นอกจากที่ระมัดระวังตัวกันมากกว่ามาตรการครอบจักรวาลที่ฝ่ายกุมอำนาจเรียกร้อง ยังจะต้องทำอะไรกันอีกถึงจะอยู่รอดปลอดภัย ในเมื่อไม่มีการเข้มข้นในมาตรการอะไร ปล่อยให้คนใช้ชีวิตแทบจะปกติด้วยเหตุผลว่าให้คนอยู่ได้ เศรษฐกิจฟื้นคืนตัว ทั้งที่เหตุผลหลักคือรัฐบาลไร้สติปัญญาที่จะแก้ปัญหาแล้ว หากล็อกดาวน์หรือเข้มมาตรการก็เท่ากับฆ่าตัวตาย
สรุปเอาว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ติดแล้วไม่ป่วยหนัก ไม่ตาย ก็รักษากันไป แบบนั้นใช่หรือไม่ ชี้แจงให้ชัด ๆ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าถึงพยายามที่จะส่งสัญญาณเรื่องการจะเปลี่ยนวิธีรายงานตัวเลข โดยอ้างว่าจะเน้นเฉพาะยอดป่วยหนักหรือเสียชีวิต แต่ตัวเลขติดเชื้อรายวันจะไม่บอกกล่าวกับประชาชน ล้มเหลวมาแล้วหนหนึ่งก็อย่าให้ประชาชนต้องเกิดข้อกังขาอีกเลย บอกกันมาตรง ๆ คนจะได้เตรียมรับมือ ถ้าจะอ้างว่าโอมิครอนแพร่เร็วแต่วัคซีนป้องกันเจ็บหนักและตายได้ ถามว่าต้อง 3 เข็มใช่ไหมถึงจะเอาอยู่
เวลานี้ตัวเลขของคนไทยที่เข้ารับวัคซีนบูสเตอร์โดสอยู่ที่เท่าไหร่ ตัวเลขที่รายงานก็ชี้ชัด 20 เปอร์เซ็นต์นิด ๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลหรือไม่ และก็ไม่น่าจะแปลกใจเช่นเดียวกันหรือเปล่า จากตัวเลขคนตายต่อวันที่ไม่ถึงยี่สิบ แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมาเริ่มเกินยี่สิบนิด ๆ และไม่รู้ว่าจะเพิ่มไปกว่านี้อีกหรือไม่ ฟังหมอการเมืองแล้วประชาชนจะการ์ดตก คงต้องรอฟังคำแนะนำจากหมออาชีพทั้งหลาย ประชาชนอย่างเราทั้งหลายจะได้เลือกนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
หลังจากเก็บงำไม่ปริปากพูดเรื่องการเมืองมานาน วันศุกร์ที่ผ่านมาผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงตอบคำถามนักข่าวยาวเหยียด แต่สรุปใจความแบบเน้น ๆ แล้วไม่มีสาระอะไรที่เป็นแก่นสาร ปมยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่จากปัญหาสภาล่มซ้ำซาก ก็มีการขู่กลับนักเลือกตั้งทั้งหลายหากอยากจะหย่อนบัตรกันเร็ว ก็รีบประชุมผ่านกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 2 ฉบับให้เรียบร้อย งานนี้พอเข้าใจได้ประเภทไก่เห็นตีนงู
ดูการเมืองออกอ่านเกมการเมืองเป็น ประเด็นสภาล่มดูเหมือนว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางทำมาหากินของนักเลือกตั้งอาชีพ ไม่จำกัดฝักฝ่าย เมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสบายใจได้ แต่สิ่งที่เป็นคำถามแล้วสร้างความหงุดหงิดในหัวใจของท่านผู้นำก็คือ จะเข้าไปกุมบังเหียนพรรคสืบทอดอำนาจแทนพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เมื่อไหร่ คำตอบที่ได้คือ “ผมยังไม่ตอบอะไรทั้งนั้น มีปัญหาอะไรหรือ อะไรที่ยังไม่จำเป็นผมก็ยังไม่ต้องพูด เป็นเรื่องที่ผมต้องตัดสินใจของผมเอง”
แต่พอถูกถามรุกต่อไปว่า นอกจากการตัดสินใจของตัวเองแล้ว ต้องขึ้นกับพี่ใหญ่ในฐานะหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจด้วยหรือไม่ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “คุณถามไม่รู้จะตอบอย่างไร และสื่อก็ไปคุยกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เองก็แล้วกัน” การเมืองเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ยังจะแทงกั๊กไปเพื่ออะไร ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้อยู่ บางทีปมการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปีตามรัฐธรรมนูญ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้การอยากจะไปต่อเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก
อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีคิดที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ยึดความเสียสละที่ต้องทำการรัฐประหารเป็นบุญคุณ มันจึงมองไม่เห็นอนาคตสำหรับประเทศไทย เพราะเมื่อมีการตั้งปุจฉาว่าด้วยการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ทวงบุญคุณทันที จะไม่ถึงไหนตรงไหนได้อย่างไร ในเมื่อสถานการณ์ที่ผ่านมาวันก่อนมันเกิดอะไรขึ้น มีทั้งเรื่องการเคลื่อนไหว การใช้อาวุธ การตีกัน แล้วที่ตนอยู่มามันก็ไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่หรือ
ถ้าความสงบและสมานฉันท์ในความคิดของผู้นำประเทศเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก ความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามที่อ้างว่ารับฟังทุกเสียงก็คือวาทกรรมลวงโลก ชัดเจนกับคำสารภาพที่บอกว่าวันนี้เราต้องสร้างการรับรู้ให้กับสังคมและประชาชน แต่ลองไปเปิดโทรศัพท์ดู มีการสร้างความขัดแย้งสร้างความไม่เข้าใจถึง 80% อยู่ในนั้น จริงบ้างไม่จริงบ้าง สิ่งที่เป็นเรื่องจริงและเป็นประโยชน์ตนก็รับมา อันไหนไม่เป็นประโยชน์ตนก็ไม่รู้จะไปอ่านทำไม ถ้าอ่านแล้วทำให้ไม่สบายใจอย่าไปอ่านมันดีกว่า
ทั้งที่หากเป็นผู้นำของประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแท้จริง ความเห็นสาธารณะถือเป็นเรื่องสำคัญ เหมือนที่บทความของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ว่าไว้ พื้นที่สาธารณะที่สำคัญที่สุดในสังคมสมัยใหม่คือสื่อและการศึกษามวลชน เพราะนำเอาข้อเท็จจริงพื้นฐานกระจายไปยังพลเมืองได้กว้างขวางที่สุด ในขณะที่เสนอความเห็นและข้อถกเถียงนโยบายสาธารณะ ความนิยมชมชอบทั้งส่วนตัวและสาธารณะ และระบบคุณค่าต้องดำเนินไปพร้อมกัน
น่าเสียดายที่ในสังคมไทย พื้นที่สาธารณะที่สำคัญยิ่งยวดนี้ ขาดเสรีภาพหรือมีจำกัด เพราะตกอยู่ในความควบคุมของรัฐอย่างใกล้ชิด ทั้งในกฎหมายและนอกกฎหมาย ในประเทศไทยซึ่งให้อำนาจควบคุมสื่อแก่รัฐสูงเกินไป ความปลอดภัยของสื่อจึงไม่ได้อยู่ที่ความพอใจของผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความพอใจของผู้มีอำนาจในรัฐด้วย สื่อจึงไม่เป็นพื้นที่สาธารณะของประชาชนจริง เป็นถึงขนาดนี้แล้วผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังไม่พอใจอีกหรือ
แต่การปักหลักให้สัมภาษณ์ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเที่ยวนี้ ก็พอที่จะทำให้เห็นถึงความกังวลต่อประเด็นเป็นนายกฯ 8 ปีไม่น้อย เมื่อตอบคำถามในเรื่องดังกล่าวว่า “ทั้งหมดเป็นเรื่องของกฎหมายก็ไปว่ากันมา ฉันก็อยู่เท่าที่อยู่ อยู่ได้เมื่อไหร่ก็แค่นั้น กฎหมายมันก็มีกำหนดอยู่แล้ว เป็นเรื่องการพิจารณาของคนอื่น ผมพิจารณาเองได้เสียเมื่อไหร่” แต่ก็ยังประกาศกร้าวพร้อมสู้ทุกดอก ขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตราบที่ทำงานได้ ดูกันไปจะอยู่ได้แบบยาว ๆ เหมือนที่วางแผนกันไว้หรือเปล่า