พาราสาวะถี
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันที่ทั้งประเทศทะยานขึ้นไปเกิน 13,000 กว่าราย และในกทม.ก็พบอีกกว่า 2,700 รายในวันเดียว
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันที่ทั้งประเทศทะยานขึ้นไปเกิน 13,000 กว่าราย และในกทม.ก็พบอีกกว่า 2,700 รายในวันเดียว เหล่านี้คือสัญญาณน่าจะมีการไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อรัฐบาลไม่ได้มีมาตรการใดมากำกับควบคุม ประชาชนใช้ชีวิตกันแทบปกติ เมื่อเชื้อแพร่เร็วและติดง่าย ย่อมได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ว่าจะถึงจุดพีกสุดเมื่อใด ตัวเลขจะแตะหลัก 3 หมื่นรายต่อวันเหมือนที่กระทรวงสาธารณสุขได้คาดการณ์ตามฉากทัศน์ก่อนหน้านี้หรือไม่
คงต้องรอดูการประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ แต่แนวโน้มคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไหร่ ในเมื่อเป้าหมายของฝ่ายกุมอำนาจตอนนี้อยู่ที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตั้งโจทย์ไว้แล้วว่าเชื้อโอมิครอนติดง่ายหายเร็ว ไม่รุนแรง จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรง เมื่อเป็นเช่นนั้นหากคนส่วนใหญ่อยากจะอยู่รอดปลอดภัย คงต้องใช้มาตรกรดูแลตัวเองแบบครอบจักรวาล การ์ดต้องยกสูงอยู่ตลอดเวลา จนกว่าตัวเลขคนติดเชื้อจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมั่นใจได้ว่าไม่มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นอีก
จะมีใครเห็นใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบ้างไหม หลังจากยอมปริปากให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อวันวาน ด้วยการโอดโอยประเทศไทยเผชิญวิกฤตหลายด้าน ไม่เคยมีรัฐบาลไหนเจอมาก่อนที่พร้อม ๆ กันแบบนี้ ตั้งแต่โควิด-19 ราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน การแข่งขันทางการค้า ความมั่นคงในภูมิภาค ความขัดแย้งทางทะเล การแข่งขันการลงทุน แต่ยังไม่วายคุยโวประเทศไทยยังมีประสิทธิภาพที่ต่างชาติให้ความไว้วางใจอยู่ จึงพอที่จะสู้ไหว
คงหมดมุกที่จะไปเที่ยวโทษรัฐบาลก่อนหน้าแล้ว เพราะตัวเองอยู่มาเกือบ 8 ปี ผิดชอบชั่วดีต้องรับไปเองเต็ม ๆ การบ่นออกมาดัง ๆ เช่นนี้ ไม่ได้ช่วยทำให้คนสงสาร กลับจะสมน้ำหน้ารู้สึกสมเพชเสียด้วยซ้ำไป ถ้าไม่มีสติปัญญามากพอต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา ก็สมควรใส่เกียร์ถอย ปล่อยให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารแทน ไม่ใช่ว่าบ้านเมืองนี้ขาดผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปแล้วจะอยู่ไม่ได้ ในทางกลับกันการไม่อยู่ให้รกหูรกตาน่าจะนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้ามากกว่า
ขณะเดียวกัน ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ายิ่งอยู่นานการแก้ไขปัญหานอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ แล้ว ยังมีแต่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ปัญหาความขัดแย้งภายในรัฐบาลเริ่มฉายภาพให้เห็นขึ้นมาเรื่อย ๆ จากพรรคที่เคยเกรงอกเกรงใจอะไรก็ได้ กลายเป็นว่าลุกขึ้นมาขึงขังในประเด็นที่พรรคของตัวเองเห็นว่าประชานไม่ได้ประโยชน์ และน่าจะมีลับลมคมใน ถ้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องการแตกหัก ก็ขอให้เดินหน้าใช้มติเสียงข้างมากลากในที่ประชุมครม.ดำเนินการไป แล้วจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ปมการขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เวลานี้เผือกร้อนตกไปอยู่ในมือของกระทรวงมหาดไทย โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รองของแก๊ง 3 ป.รับผิดชอบนั้น ความจริงต้นตอของปัญหาก็มาจากการใช้มาตรา 44 ในความเป็นหัวหน้าคสช.ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่นเอง จนสุดท้ายก็บานปลายกลายเป็นปัญหา เพราะสิ่งที่ดำเนินการกันมันส่อว่าไปเอื้อให้นายทุนไม่ใช่ดูแลผลประโยชน์ของประชาชน
ความจริงเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน ยุ่งยาก เมื่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสิ้นสุดลง ทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของกทม. หากจะนำไปให้เอกชนบริหารต่อไปก็ต้องเปิดประมูลตามแบบฉบับกิจการร่วมทุนของรัฐ การใช้วิธีต่อสัญญาและลากไปยาวนาน ในขณะสัญญาเดิมยังเหลือเวลาอีกเป็นสิบปีนั้น มันชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า เป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ถ้าไม่เกิดการซ่อนปมเงื่อนกันจริงในยุคที่ท่านผู้นำอ้างความโปร่งใส ก็ต้องนำเอกสารทุกอย่างมาแจกแจงกันไปแล้ว และเนติบริกรก็คงตอบคำถามได้อย่างฉะฉานไม่ใช่อ้อมแอ้ม เลี่ยงบาลีขี่ม้าเลียบค่ายเหมือนที่เป็นอยู่
ท่วงทำนองที่ดำเนินการกันอยู่นี้ และฟังเสียงยืนกรานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ออกมาในลักษณะต้องเดินหน้าให้ได้ โดยอาศัยมติของครม.เป็นใหญ่ น่าจะเข้าทำนอง “เสียหายไม่ว่าเสียหน้าไม่ยอม” ก็อยู่ที่ว่าพรรคที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกรณีนี้จะทนทู่ซี้อยู่ต่อไปในเรือที่เต็มไปด้วยสนิมอีกหรือไม่ ภาพการคุยกันของ อนุทิน ชาญวีรกูล กับ ธรรมนัส พรหมเผ่า จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญของคนที่โดดประชุมครม. และคนที่ถูกไล่พ้นพรรคแกนนำรัฐบาลมาเจอกันในวันว่างแต่อย่างใด
ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีเค้าลางเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ทุกเมื่อ ทุกท่วงท่าและทุกอิริยาบถของนักการเมืองจึงเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางได้อีกประการหนึ่ง ไม่เพียงแต่ภูมิใจไทยที่ชูประเด็นคัดค้านเรื่องสายสีเขียวมาเป็นตัวขับเคลื่อนในทางการเมืองและอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล การเรียกร้องให้มีความชัดเจนในเรื่องวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นเกมการรุกไล่ทางการเมือง ที่เมื่อถึงวันหนึ่งจะปล่อยให้อำนาจเผด็จการซ่อนรูปมากลืนกินวิถีประชาธิปไตยของคนเมืองหลวงไม่ได้อีกต่อไป
ดูตามทิศทางลมไม่ใช่จังหวะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องแตกหักกับพรรคที่กล้าหือ ยังคงต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไปอีกระยะหนึ่งก่อน ด้วยเหตุผลพรรคที่จะมาเป็นฐานให้กับตัวเองยังเพิ่งเริ่มขึ้นรูป ตามข่าวไม่ได้มีเพียงแค่รวมไทยสร้างชาติที่ เสกสกล อัตถาวงศ์ ไปนั่งรอแล้วเท่านั้น หากแต่ยังมีอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่จะเป็นฐานสำคัญให้กับท่านผู้นำซึ่งน่าจะมีการเปิดเผยตัวออกมาในเร็ววันนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็น่าน้อยใจแทน วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่อุตส่าห์ไปตั้งพรรคไทยภักดีคอยท่ากลับไม่ได้รับความไว้วางใจ
เป็นธรรมดาเมื่อมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวย่อมดูออกว่าอะไรที่จะมาช่วยค้ำยันการสืบทอดอำนาจให้ตัวเองได้อย่างแข็งแรง ผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 9 กทม.ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจน เมื่อน้องเล็กขยับตั้งถึงสองพรรคไว้รอรับตัวเองแบบนี้ การที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ประกาศว่าพรรคสืบทอดอำนาจยังคงจะเสนอแคนดิเดตนายกฯ คนเดิม จึงเป็นเพียงการพูดตามมารยาทเท่านั้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีชื่อน้องเล็กแล้วพรรคจะไม่เดินหน้าต่อ พี่ใหญ่ยังต้องอยู่กับพรรคเดิมโดยหวังว่าจะมีส.ส.อยู่ในกำมือ 50-60 ที่นั่งเมื่อบวกกับพรรคของธรรมนัส นี่คือคณิตศาสตร์การเมืองที่จะถูกนำไปใช้หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า