คัด 6 หุ้นพลังงาน “Outperform” ตลาดฯ รับราคาน้ำมันดิบนิวไฮรอบ 7 ปี ทะลุ 94 เหรียญ
คัด 6 หุ้นพลังงาน “Outperform” ตลาดฯ รับราคาน้ำมันดิบ Brent นิวไฮรอบ 7 ปี ทะลุ 94 เหรียญ นำทีมเด่น TOP,PTTEP,BANPU,BGRIM,GPSC,PTG
บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(14 ก.พ.65) ว่า ราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี เมื่อวันที่ 11 ก.พ.2565 ราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 94.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (โต 21% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุด) ซึ่งเป็นระดับ ที่สูงที่สุดตั้งแต่ปลายปี 2557 ก่อนเกิดเหตุการณ์ภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด จากการผลิตของ US shale oil)
ทั้งนี้แนวโน้มขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบใน ปัจจุบัน มีปัจจัยผลักดันมาจากสมดุลน้ำมันดิบโลกที่ตึงตัว ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากมีการฉีดวัคซีน COVID-19 อย่างแพร่หลาย ซึ่งส่งผลดีต่อการเดินทางและเศรษฐกิจโลกโดยรวม สำหรับฝั่งอุปทาน แม้ว่าระดับ ปริมาณสํารองจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี แต่กลุ่ม OPEC+ ก็ยังคง แผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นไปค่อยไป (หลังจากมีการลด กําลังการผลิตใหญ่ที่สุด 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวิน (mbd) ในปี 2564 จาก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19)
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบก็ยัง ได้แรงหนุนจากความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศที่สูงขึ้น ซึ่งรวมถึง เหตุการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลาง และข้อพิพาทระหว่าง รัสเซียและยูเครน ยิ่งกว่านั้น สมาชิก OPEC บางประเทศก็ประสบปัญหาใน การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบให้ได้ตามโควตาอีกด้วย
หากข้อพิพาทรุนแรงมากขึ้น; downside risk จากการเจรจายกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านและการผลิตที่สูงขึ้นของ US shale oil ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบอาจขึ้นไปแตะระดับ 100 เหรียญ ได้หากข้อพิพาท ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนมีความตึงเครียดมากขึ้น (ล่าสุดมีข่าวว่ารัสเซียได้เตรียม ทหารมากกว่า 1 แสนนายประชิดพรมแดนยูเครน) ซึ่งอาจจะทำให้ราคาก๊าซ ธรรมชาติสูงขึ้นอย่างมาก และทำให้เกิดอุปสงค์ gas-to-oil นอีก คล้ายกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ราคานํามัน อาจจะปรับตัวลงมาได้หากการเจรจายกเลิกการดวาบาตรอิหร่านสำเร็จ (อิหร่านผลิตน้ำมันประมาณ 2.5mbd ในเดือน ธ.ค.2564 เทียบกับ 3.4 3.8mbd ก่อนมีการควบาตร)
นอกจากนี้ แนวโน้มการเร่งการผลิตน้ำมันของ3.8mbd ก่อนมีการควบาตร) นอกจากนี้ แนวโน้มการเร่งการผลิตน้ำมันของ US shale oil ก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจจะกดดินราคาน้ำมันดิบให้อ่อนตัวลงได้
โดย KTBST: มองเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทยจากผลกระทบในวงกว้าง แม้เราเชื่อว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่แข็งแกร่งจะส่งผลดีต่อกำไรของหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี รวมถึงท่าไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาด เชื่อว่าราคานํามันดิบที่ สูงขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนพลังงานของบริษัทในอุตสาหกรรมอื่นๆให้สูงขึ้นตาม โดยคาดว่าอุตสาหกรรมหลักๆที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากแนวโน้มราคา น้ำมันดิบยืนสูงได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและสายการบิน กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง
ทั้งนี้เชื่อว่าผลกระทบเชิงลบ จองต้นทุนที่สูงขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆจะใหญ่กว่าผลกระทบเชิงบวกจาก กําไรที่สูงขึ้นของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี และน่าจะส่งผลให้ EPS ของตลาด ลดลง สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2565อยู่ที่ 73 ดอลลาร์/บาร์เรล (โต 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวในระดับสูงในไตรมาส 1/2565 หลักๆจากประเด็นความกังวลต่อข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ก่อนที่จะทยอยปรับตัวลงระหว่างปีตามอุปทานที่สูงขึ้นจากแผนการเพิ่มกำลัง การผลิตของ OPEC+
ทั้งนี้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาล สหรัฐ (EIA) ได้ประเมินว่าตลาดน้ำมันดิบโลกจะกลับมาเผชิญภาวะอุปทานสับ ตลาดตั้งแต่ ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ประเด็นความข้อพิพาทระหว่าง รัสเซียและยูเครนอาจจะทำให้ราคา ามันดิบยืนสูงได้นานกว่าที่เราคาดและ อาจจะทำให้มี upside ต่อสมมติฐานราคา กินดิบเฉลี่ยของเรา ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2565 YTD อยู่ที่ 84 ดอลลาร์/บาร์เรล (เพิ่มขึ้น 10% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน)
หุ้นที่เราคาดว่ามีโอกาส outperform ต่อในระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้ม สูงขึ้นต่อ คือ
1) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ชื้อเป้า 68.00 บาท) จาก กำไรสต๊อกน้ำมันที่สูงขึ้นและส่วนต่างราคา ผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่แข็งแกร่ง
2) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ซื้อ/เป้า 150.00 บาท) จาก ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูงขึ้น
3) บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU – (ซื้อ/เป้า 15.00 บาท) จาก ราคาจายท่านหินและก๊าซฯที่สูงขึ้น
หุ้นที่เราคาดว่ามีโอกาส underperform ต่อในระยะสั้น จากต้นทุนพลังงานที่ สูงขึ้นทางตรง (ราคาน้ำมัน) และทางอ้อม เช่น ราคาก๊าซ) คือ
1) บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM (ซื้อ/เป้า 56.50 บาท) จาก ต้นทุนราคาก๊าซที่สูงขึ้น
2) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)หรือ GPSC ชื้อ/เป้า 95.00 บาท จาก ต้นทุนราคาก๊าซรที่สูงขึ้น
3) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG (ถือ/เป้า 15.20 บาท) จาก แรงกดดันต่อค่าการตลาดที่สูงขึ้นจาก ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง