StashAway เปิดตัว “Thematic Portfolio” ชู 4 ธีมลงทุนเทรนด์อนาคต
StashAway สตาร์ทอัพ WealthTech เปิดตัว “Thematic Portfolio” ชู 4 ธีมลงทุนเทรนด์อนาคต พร้อมนำเทคโนโลยีระดับโลกช่วยสร้างสมดุลพอร์ตอัตโนมัติ
นายเฟรดดี้ ลิม ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของกลุ่ม StashAway สตาร์ทอัพ WealthTech ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารการลงทุนจากสิงคโปร์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “Thematic Portfolio” ที่ตอบโจทย์การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เป็นเทรนด์แห่งอนาคต (Thematic Investing) ด้วยการคัดสรรกองทุน ETF (Exchange Traded Fund) ที่ลงทุนในนวัตกรรมต่างๆ จากทั่วโลกมาจัดเป็น 4 ธีมการลงทุนที่สอดคล้องกับเทรนด์แห่งอนาคตและจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนการจากเติบโตของนวัตกรรมเหล่านี้โดยมีเทคโนโลยีช่วยควบคุมระดับความเสี่ยงและสร้างสมดุลพอร์ตให้เหมาะกับนักลงทุนแต่ละบุคคล
โดยเบื้องต้น StashAway ได้เปิดตัว Thematic Portfolio ภายใต้ 4 ธีมการลงทุนแรก ได้แก่ 1. Technology Enablers (เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต) มุ่งลงทุนในกลุ่มธุรกิจ AI บล็อกเชน คลาวด์คอมพิวติ้ง โรโบติกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ในอนาคต 2. The Future of Consumer Tech (นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์คนทั่วโลก) มุ่งลงทุนในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้บริโภคให้สะดวกสบายและเชื่อมโยงกันง่ายขึ้น เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจเกมมิ่ง เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)
3.Healthcare Innovation (นวัตกรรมที่จะพลิกโฉมวงการแพทย์) มุ่งลงทุนในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมด้านการแพทย์ เช่น ไบโอเทค จีโนมิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เภสัชกรรม ที่จะเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลง บำรุง และฟื้นฟูให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง และ 4. Environment and Cleantech (เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน) มุ่งลงทุนในกลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดต่างๆ ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนอย่างเร่งด่วนและยกระดับการดูแลสิ่งแวดล้อมให้ได้อย่างยั่งยืน อาทิ เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และระบบบำบัดของเสีย
ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา มูลค่าสินทรัพย์ในกองทุน Thematic ทั่วโลกเติบโตเฉลี่ย 37% ต่อปี และเติบโตถึง 77% ในปี 2563 เพียงปีเดียว สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจกับการลงทุนแบบ Thematic อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ในประเทศไทย ทางเลือกสำหรับการลงทุนแบบ Thematic ยังมีอยู่ค่อนข้างจำกัดและส่วนใหญ่เป็นกองทุนรวมที่เจาะจงเฉพาะอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง
ด้านนายยศกร นิรันดร์วิชย, CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การลงทุนแบบ Thematic มักมีความเสี่ยงสูง เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ Thematic Portfolio ที่สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั้ง 4 ธีม มีการกระจายการลงทุนไปยังหลายกลุ่มธุรกิจนวัตกรรม และลงทุนในกองทุน ETF เฉลี่ยธีมละ 7-13 กองทุน โดยเป็น ETF ที่คัดสรรจากบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุนแบบ Thematic โดยเฉพาะ อาทิ ARK Invest, iShares by BlackRock, Global X และ VanEck ซึ่งกองทุน ETF แต่ละตัวมีการกระจายการลงทุนไปยังบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตจำนวนมากและสอดคล้องกับกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมภายใต้ธีมต่างๆ อาทิ Tesla, Amazon, Intel, Sea, Tencent, Apple, Pfizer, Spotify เพื่อลดความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของการลงทุนแบบ Thematic
“นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสัดส่วนของ ‘สินทรัพย์ปรับสมดุล’ เข้าไปในพอร์ต ซึ่งไม่เพียงจะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงแต่ยังทำให้เราสามารถสร้างพอร์ตแบบ Thematic ในระดับความเสี่ยงที่มีให้เลือกมากถึง 7 ระดับ ตามความเหมาะสมของนักลงทุนแต่ละราย นักลงทุนจึงสามารถลงทุนในเทรนด์นวัตกรรมที่เชื่อมั่นบนระดับความเสี่ยงที่เหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างมั่นใจ” นายยศกร กล่าว
ทั้งนี้ Thematic Portfolio ของ StashAway ยังมีอีกหลากหลายจุดเด่นที่แตกต่างจากตลาดในปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี ERAA™ หรือ Economic Regime-based Asset Allocation เทคโนโลยีการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) จำนวนมหาศาล เพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจในการลงทุนและคอยปรับพอร์ตให้เหมาะกับแต่ละภาวะเศรษฐกิจให้อัตโนมัติและรักษาสมดุลพอร์ตในทุกๆ วันให้ตรงกับ StashAway Risk Index (SRI) หรือ ระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละรายยอมรับได้ ทั้งนี้แพลตฟอร์ม StashAway ยังมีค่าธรรมเนียมต่ำเพียง 0.2-0.8% ต่อปีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงเพิ่มเติม
สำหรับ StashAway เป็นสตาร์ทอัพด้าน WealthTech ชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มบริหารการลงทุนในรูปแบบแอปพลิเคชัน ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์ทั่วโลกได้ผ่านการลงทุนใน ETF คุณภาพ โดยมีเทคโนโลยีระดับโลกช่วยบริหารการลงทุนและจัดการความเสี่ยงในทุกภาวะเศรษฐกิจ เปิดให้บริการแล้วใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจาก Venture Capital ระดับโลกจนสามารถระดมทุนได้ถึงรอบซีรีส์ D มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการเติบโตมากกว่า 3 หมื่นล้านบาทภายในระยะเวลาน้อยกว่า 4 ปี