จับตา SCCC ปี 65 กำไรโต รับผลดีก่อสร้างฟื้น โบรกฯ เคาะซื้อเป้า 190 บ.
“ฟินันเซีย” แนะ “ซื้อ” SCCC เป้า 190 บ. ชี้ปี 65 กำไรโต ผลักดันจากการฟื้นตัวของศก.-ก่อสร้างฟื้น หนุนความต้องการใช้ปูนขยายตัวดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (14 ก.พ.2565) โดยประเมิน บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ว่า บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 เท่ากับ 1.06 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดีกว่า Consensus คาดที่ 700-800 ล้านบาท เนื่องจากรายได้สูงกว่าคาด โดยงบที่ขยายตัวจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน ได้แรงหนุนจากทั้งปริมาณการจำหน่ายที่สูงขึ้นตามความต้องการปูนซีเมนต์ที่ฟื้นตัวทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยและเวียดนามหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
รวมทั้งการปรับขึ้นของราคาขายเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงและวัตถุดิบ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้รักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 3/2564 ที่ 30.30% ทำให้จบปี 2564 กำไรสุทธิทำได้ 4.25 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่หากหักรายการพิเศษทางภาษี กำไรปกติเป็น 3.50 พันล้านบาท ลดลง 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบของต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่า SCCC จะได้รับประโยชน์รายต้นๆในฐานะผู้ผลิตปูนซีเมนต์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 28% จากการเร่งลงทุนภาครัฐซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2565 จากทั้งโครงการ EEC, รถไฟทางคู่สายใหม่, รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง รวมถึงคาดเห็นการเปิดประมูลโครงการใหญ่กว่า 11 โครงการ วงเงินรวม 4.8 แสนล้านบาท อาทิ รถไฟฟ้าสายสีส้ม, สายสีแดงต่อขยาย, รถไฟทางคู่เฟส 2, ทางด่วนและมอเตอร์เวย์หลายสาย รวมถึงโครงการพัฒนาสนามบิน ยืนยันภาพอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีทิศทางขยายตัว และมีแนวโน้มเติบโตไปอย่างน้อย 3 ปีตามระยะเวลาการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่
อีกทั้งยังเป็นส่วนกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่กลับมารุกเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้นในรอบ 2 ปี นอกจากนี้ ธุรกิจปูนซิเมนต์ในภูมิภาคมีแนวโน้มความต้องการปรับตัวดีขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หนุนโครงการก่อสร้างกลับมาดำเนินการต่อ
อย่างไรก็ดีคาดการณ์กำไรปกติในปี 2565-2566 กลับมาเติบโตเฉลี่ย 5.2% CAGR ที่ 3.60 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 3.90 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ผลักดันจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ, สถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย, กิจกรรมก่อสร้างราบรื่น รวมถึงการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ หนุนความต้องการใช้ปูนขยายตัวดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นบวกต่อทั้งด้านยอดขาย และความสามารถในการขยับราคาขายขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่อยู่ระดับสูง
สำหรับทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 190.00 บาท อิงค่า PER ที่ 15.5 เท่า หรือค่าเฉลี่ยปี 2559-2564 (ไม่นับรวมปี 2560-2561 ที่มีรายการตั้งสำรองจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ) ซึ่งให้ Premium จากบริษัทวัสดุก่อสร้างเล็กน้อย เนื่องจากอัตราการเติบโตของกำไรปี 2565-2566 เด่นกว่า เริ่มต้นด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” จาก (1) พื้นฐานระยะยาวมั่นคงด้วยความเป็นผู้นำอันดับสองในประเทศ ซึ่งรับอานิสงส์เชิงบวกของภาคการก่อสร้างที่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงยังมีการกระจายตัวของธุรกิจไปในภูมิภาคเอเชีย
อีกทั้ง (2) คาดกำไรปกติกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังหดตัวในปี 2564 รวมทั้ง (3) ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 14.80% ซื้อขายบนค่า PE ปี 2565 ที่ 13.6 เท่า และ (4) ระยะสั้นมี Catalyst บวกต่อราคาหุ้นจากงบไตรมาส 4/2564 ดีกว่าคาด และประกาศเงินปันผลเต็มปีที่ 9.00 บาท (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Yield สูง 5.40% ขึ้น XD วันที่ 24 ก.พ. และจ่ายปันผลวันที่ 8 เม.ย. 2565 (เทียบกับกลุ่มฯที่มักจ่ายปีละ 2 ครั้งรวม Yield เฉลี่ย 3.90% ต่อปี) รวมถึง Consensus มีโอกาสปรับประมาณการขึ้น