“กสิกร” คัด 4 หุ้น เน้นปันผลเด่น – กำไรโตแกร่ง!

บล.กสิกรไทย แนะนำ 4 หุ้นมีปัจจัยบวกเรื่องผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโต และเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่โดดเด่น


บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำหลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องการจ่ายเงินปันผล และผลประกอบการ จำนวน 4 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย

1.บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ราคาเป้าหมาย 24 บาท โดยเชื่อว่า BAM จะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ก่อตั้งบริษัทร่วมทุน JV กับกลุ่ม AMC เพื่อดำเนินธุรกิจหนี้เสียร่วมกัน BAM เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหาร NPL ที่มีหลักประกันและมีประสบการณ์ในตลาดมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะช่วยให้ BAM สามารถบริหาร NPL ที่มีหลักประกันขนาดใหญ่ให้กับธนาคารพาณิชย์และจำกัดการแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่

พร้อมกันนี้ คาดว่า BAM จะรายงานกำไรสุทธิปี 2565 ที่เติบโตขึ้นมากกว่า 50% มาอยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท หนุนจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นที่จะช่วยขับเคลื่อนทั้งการเก็บเงินสดจาก NPL และยอดขาย NPA ในปี 2565

อีกทั้งได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง เนื่องจากรัฐบาลไม่ลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2565 จึงคาดว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ล้านบาท /ปี เท่านั้นเพราะ BAM ยังมีค่าอินเซนทีฟเนื่องจากกลุ่ม AMC ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับการถือครองทรัพย์สินที่น้อยกว่า 5 ปี

ขณะที่ราคาหุ้น BAM ขณะนี้ซื้อขายด้วย PBV ปี 2565 แค่ 1.3 เท่า เทียบกับ PBV ของบริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม AMC ที่มากกว่า 4 เท่า กำไรสุทธิที่คาดจะฟื้นตัวขึ้นในปี 2565 จะเป็นปัจจัยหนุนหลัก

2.บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ราคาเป้าหมาย 51.18 บาท โดยคงมุมมองบวกต่อกลุ่มโทรคมนาคมไทยจากโอกาสที่เกิดการรวมตลาดโทรศัพท์มือถือ เชื่อว่าบรรยากาศการแข่งขันที่ดีขึ้นอาจไม่เกิดขึ้นจากจำนวนผู้เล่นในตลาดที่ลดลง แต่จะขึ้นอยู่กับการถือครองคลื่นความถี่ที่กลับมาสมดุลหลังรวมกิจการมากกว่า

ทั้งนี้ หากพิจารณาจาก swap ratio คาดว่า equity value หลังรวมกิจการของ DTAC และ TRUE จะอยู่ที่ 46.21-64.03 และ 4.53-6.27 บาท ภายใต้มูลค่าที่เกิดจากการรวมกิจการในหลายสมมติฐานที่กรอบ 2-5 พันล้านดอลลาร์ฯ

ขณะที่ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 51.18 บาท จากการขาดหายไปของพัฒนาการจากภายนอก เช่น การรวมกิจการและการขายทรัพย์สิน จึงคำนวณมูลค่าธุรกิจปัจจุบันของ DTAC ได้ที่ 30.41 บาท โดยใช้วิธี DCF (WACC ที่ 9.4% และอัตราเติบโตสุดท้ายที่ 2%) อิงจากความน่าจะเป็นที่การควบรวมกิจการจะเกิดขึ้นที่ 80% จึงคำนวณมูลค่าจากการรวมกิจการที่ 20.77 บาท ซึ่งส่งผลให้มูลค่ายุติธรรมกรณีพื้นฐานของเราอยู่ที่ 51.18 บาท

พร้อมแนะนำ “ซื้อ” คงคำแนะนำ “ซื้อ” และกลายมาเป็นหุ้นเด่นขณะนี้ ปัจจัยหนุนราคาหุ้น ได้แก่ 1) เงินปันผลครึ่งหลังปีนี้ที่น่าประหลาดใจ 2) พัฒนาการเชิงบวกเกี่ยวกับการรวมกิจการ และ 3) มูลค่าจากการรวมกิจการที่สูงกว่าคาด

3.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ราคาเป้าหมาย 80 บาท โดยผู้บริหารตั้งเป้าสินเชื่อปี 2565 เติบโตขึ้น 12% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่วิเคราะห์อยู่เนื่องจาก KKP เพิ่งได้รับแบรนด์ HP ใหม่ในช่วงกลางปี 2564 และจะเจาะตลาด HP ใหม่ในปี 2565 กลุ่มหลักที่คาดจะเติบโตขึ้นยังเป็นกลุ่มรายย่อยและธุรกิจในปี 2565 นอกจากนี้ ผู้บริหารยังคาดว่าจะสามารถลดเงินสำรองลงได้อีกในปี 2565 จาก managementoverlay และสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปี 2565

ด้านฐาน non-NII ระดับสูงจะเป็นเกราะป้องกัน KKP มีสัดส่วน non-NII สูงกว่าธนาคารอื่น ๆ จากผลการดาเนินงานของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งและธุรกิจตลาดทุนที่แข็งแกร่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คาดว่าฐาน non-NII ที่สูงจะเป็นเกราะป้องกัน NII ที่อ่อนแอในปี 2565 จาก NIM ที่ถูกกดดันจากการปรับโครงสร้างหนี้สินและต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น

พร้อมคาดกำไรเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง กำไรสุทธิของ KKP แตะระดับสูงสุดใหม่ในปี 2564 คาดว่ากำไรสุทธิจะขยายตัวขึ้นต่อเนื่องที่ 4% ในปี 2565 หนุนจาก ECL ที่ลดลงและ non-NII ที่สูงขึ้น

ขณะที่ราคาหุ้น KKP ขณะนี้ซื้อขายด้วย PBV แค่ 1 เท่า ซึ่งเชื่อว่าจะมีปัจจัยหนุนราคาหุ้นอีกเพราะคาดว่า ROE ปี 2565 จะอยู่ที่ 14% เป็นอย่างน้อยที่สุด

4.บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ราคาเป้าหมาย 10.40 บาท โดยแผนธุรกิจปี 2565 ที่ LH มีการประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นการยืนยันมุมมองของฝ่ายวิจัยว่าผลประกอบการปี 2565 จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งที่ประมาณ 25.9% เทียบกับปีก่อน จากระดับที่ต่ำผิดปกติในปี 2564 ที่ 6.7 พันล้านบาท

โดย LH ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายและรายได้จากการขายในปี 2565 ที่ 8% จากปีก่อน เป็น 3.1 หมื่นล้านบาท และ 3.3 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกันรายได้ค่าเช่าและส่วนแบ่งจากเงินลงทุนตั้งเป้าที่จะเติบโต 119% จากปีก่อน และ 18% จากปีก่อน ตามลำดับ

พร้อมกันนี้ LH วางแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่ารวม 2.95 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา โครงการค้าปลีก และโรงแรม 1 แห่งในไทยที่จะเปิดให้บริการในปี 2565

อีกทั้งยังมองว่า LH เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ นอกจากอุปสงค์บ้านที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ผลการดำเนินงานของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและการลงทุนก็ยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีประเมินมูลค่าวิธีรวมส่วนของกิจการ (SOTP) ได้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 10.40 บาท สำหรับ LH แม้ว่ากาไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี2565 จะเป็นที่สามารถคาดหวังได้ แต่การวางแผนขายสินทรัพย์จำนวน 1 โครงการของ LH ในสหรัฐอเมริกาก็ทำให้เกิดความเสี่ยงขาขึ้นต่อการคาดการณ์ของฝ่ายวิจัย เช่นเดียวกับผลตอบแทนดิวิเดนท์ยีลด์ปี 2565

Back to top button