ส่องปี 64 กลุ่ม “ปตท.” ฟาดกำไร 2.38 แสนลบ. โตแรง 2 เท่า! PTTGC-TOP-IRPC ปันผลยีลด์เกิน 3%
ส่องงบปี 64 กลุ่ม “ปตท.” ฟาดกำไร 2.38 แสนลบ. โตแรงกว่า 2 เท่าตัว จากปีก่อนกำไร 6.75 หมื่นลบ. โบรกฯ มอง PTTEP-TOP-OR มีลุ้นโตต่อ ฟาก PTTGC-TOP-IRPC ปันผลสูง ยีลด์เกิน 3%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมผลประกอบการงวดปี 2564 ของบริษัทในเครือ “ปตท.” รวม 7 บริษัท ซึ่งได้รายงานตัวเลขกำไรออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย PTT, PTTEP , PTTGC, TOP, GPSC, IRPC และ OR โดยในช่วงปี 2564 กลุ่ม “ปตท.” มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 238,084.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 252.85% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรอยู่ที่ 67,475.52 ล้านบาท
โดยบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (18 ก.พ.2565) แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ราคาเป้าหมาย 55 บาท โดยกำไรไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 2.75 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ดีกว่า Bloomberg consensus ราว 6% แต่เป็นไปตามที่บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาด โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบจากปีก่อน มาจากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก PTTEP หลังจากราคาน้ำมันดิบดูไบพุ่งขึ้นมาถึง 76% เมื่อเทียบจากปีก่อน เป็น US$78/bbl ในไตรมาส 4/2564 ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนมากจากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก TOP, PTTEP และ OR เนื่องจาก base GRM ดีขึ้น และราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น รวมทั้งปริมาณยอดขายกาแฟเพิ่มขึ้น
ส่วนบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ (31 ม.ค.2565) ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2565 ที่ 150 บาท (เดิม 145 บาท) คงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรปี 2565 ของ PTTEP ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากทั้งแนวโน้มราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูงขึ้นจากทั้งราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซธรรมชาติ และปริมาณการขายที่เติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ที่ลดลง
โดยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 5% เป็น 5.32 หมื่นล้านบาท เทียบกับ 3.89 หมื่นล้านบาทในปี 2564 เพื่อสะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์การใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวและอุปทานน้ำมันที่ตึงตัว และunit cost ที่ต่ำลงซึ่งเป็นผลจากปริมาณการขายที่สูงขึ้นและค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดจำหน่าย (DD&A) ที่ต่ำลง
นอกจากนี้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และปรับราคาเป้าหมายใหม่ 70 บาท จากเดิม 68 บาท อิง PBV ปี 2565 ที่ 1.11 เท่า บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 ที่ 5 พันล้านบาท ลดลง 31% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 144% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เป็นไปตามตลาดและเราคาด เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่สูงขึ้นจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในช่วงฤดูหนาว ส่วนลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน จากฐานที่สูงจากการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น GPSC ในไตรมาส 4/2563
ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 27% เป็น 1.34 หมื่นพันล้านบาท เพื่อสะท้อนสมมติฐานค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด และกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (stock gain) ที่สูงขึ้นตามสมมติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยดูไบที่สูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ก.พ.2565) ว่า แนะนำ “ถือ” หุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ราคาเป้าหมาย 64 บาท โดยมองแนวโน้มไตรมาส 1/2565 กำไรปกติน่าจะกลับมาฟื้นตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เคมีณ ปัจจุบันปรับตัวลดลงไปต่ำมากแล้ว ทำให้ผู้ผลิตบางรายเริ่มมีการลดกำลังการผลิตลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกหนุนจากแนวโน้มค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวได้ดี
อย่างไรก็ตามภาพรวมในปี 2565 คาดแนวโน้มผลประกอบการจะไม่สดใสเหมือนปีก่อนที่มีการบันทึกกำไรพิเศษเป็นจำนวนมาก ประกอบกับคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยเฉลี่ยจะอ่อนตัวจากฐานที่สูงผิดปกติของปีก่อน เพราะถูกกดดันจากกeลังผลิตทั้งเก่าและใหม่ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนปิดซ่อมบำรุงเป็นจำนวนมากทั้งโรงโอเลฟินส์และโรงกลั่นในช่วงไตรมาส 2/2565 และไตรมาส 4/2565 ขณะที่การรับรู้ผลประโยชน์จาก Allnex เข้ามาเต็มปีอาจจะไม่สะท้อนลงสู่กำไรสุทธิมากนักเนื่องจากมีการบันทึกค่าเสื่อมและต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2565 ลงจากเดิม 16% อยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน และในปี 2566 จะเติบโต 12% เมื่อเทียบจากปีก่อนอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท
ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (14 ก.พ.2565) มอง Negative ต่อกำไรปกติไตรมาส 4/2564 ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ 598 ล้านบาท ลดลง 59% เมื่อเทียบจากปีก่อน และลดลง 70% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ต่ำคาด เพราะค่าใช้จ่ายโรง SPP มากกว่าคาด และส่วนแบ่งกำไรฯ ไซยะบุรีต่ำคาด (มองกระทบแค่ในไตรมาส) โดยกำไรที่ลดลงหลัก มาจาก GPM ส่วนการขายไฟลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลงจากต้นทุนก๊าซฯ ผนวกกับถ่านหินทเพิ่มขึ้นฉุดเป็นหลัก (เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน มีส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ลดลงตาม seasonal ฉุดด้วย) คาดไตรมาส 4/2564 จะเป็น bottom กำไรของ GPSC คาดแนวโน้มกำไรปกติจะฟื้นตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2565 ตาม GPM ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องการปรับขึ้นค่า ft ตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 และต้นทุนก๊าซฯ ผนวกกับถ่านหินที่ล ดง (ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป) รวมถึงค่าใช้จ่ายปิดซ่อมลดลง และ efficiency ดีขึ้น ตามการปิดซ่อมนอกแผนที่ลดลง
ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น GPSC ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 95.50 บาท และคงเป็น Top Pick มองผู้ที่รับความเสี่ยง Geopolitical risk (รัสเซีย-ยูเครน) ได้เป็นโอกาสซื้อมองราคาหุ้นที่ปรับลงนับจากกลาง ม.ค. 2565 รับปัจจัยลบของกำไรปี 2564 (ต้นทุนเชื้อ เพลิง รวมทั้ง Avaada ยังไม่สร้างกำไร) ไปมากแล้ว มองเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการปรับ ft มากสุดในกลุ่ม
นอกจากนั้นยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 5.10 บาท มีมุมมอง Slightly Positive ต่อกำไรปกติไตรมาสไตรมาสไตรมาส 4/2564 ของ IRPC ที่ราว 2,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ลดลง 19% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน สูงกว่าคาดจากรายได้อื่น โดยกำไรปกติโตสูงเมื่อเทียบจากปีก่อน เพราะธุรกิจโรงกลั่นที่ฟื้นตามค่าการกลั่นได้ความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกหนุน ส่วนเมื่อเทียบจากปีก่อนกำไรลดลงจากส่วนของ Lube และ ปิโตรเคมีเป็นหลัก คงมุมมองบวกต่อ core operation ที่จะทำกำไรได้ต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นในระยะยาวกำไรปกติรวมในช่วงปี 2564-2566 กว่า 2.2 หมื่นล้านบาท สูงกว่า pre-COVID ที่รวมราว 1.2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ PBV ซื้อต่ำกว่า
ด้านบล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ก.พ.2565) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 32 บาท โดยราคา OR รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 ฟื้นตัวเด่นตามตลาดคาดที่ 2.3 พันล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ฟื้นตัวเด่นจากธุรกิจ Lifestyle (Non-Oil) ส่วนปริมาณขายโดยรวมอยู่ที่ 6.4 พันล้านลิตร เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
ขณะที่ Marketing margin ปรับลดลงเหลือ 0.98 บาทต่อลิตรจากนโยบายตรึงราคา ส่วนธุรกิจ Lifestyle (Non-Oil) มี EBITDA ปรับดีขึ้นมาเป็น 1.1 พันล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ทั้งนี้ประเมินแนวโน้มไตรมาส 1/2565 ผลกำไรจะดีขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากแนวโน้มมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายมากขึ้น ธุรกิจ Lifestyle ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลทำให้บริษัทได้ผลบวก