โบรกเชียร์ซื้อ SINGER เป้า 60 บ. คาดกำไรปี 65 แตะ 1.2 พันลบ. รับสินเชื่อหนุน
โบรกเชียร์ซื้อ SINGER เป้า 60 บ. คาดกำไรปี 65 แตะ 1.2 พันลบ. หนุนโดยสินเชื่อที่จะขยายตัวสูงมากกว่า 30% หลังปี 64 โชว์กำไร 700.59 ลบ. เพิ่มขึ้น 58.04% จากปีก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาสก่อน สูงกว่าตลาด และนักวิเคราะห์คาดเพิ่มขึ้น 13% และเพิ่มขึ้น19% ตามลาดับ
สำหรับกำไรสุทธิขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า โดยจาก (1) ยอดขายเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 71% จากไตรมาสก่อนหน้า (2) รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยสินเชื่อที่ขยายตัวต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ loan yield ที่กลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 17.1% จากที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2563
ขณะเดียวกัน (3) cost to income ลดลงเป็น 24% ขณะที่ 4) credit cost เพิ่มขึ้นเป็น 6.2% (จากไตรมาส 4 ปี 2563 ที่ -2.5% และไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ 0.5%) ตาม NPL ที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.9% ไตรมาส (3 ปี 2564 อยู่ที่ 3.7% ภายหลังการสิ้นสุดระยะเวลา และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากโควิด-19
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 700.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น58.04% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 443.30 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหลังจาก SINGER ประกาศงบการเงินปี 2564 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาง บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 7% เป็น 1.23 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 75% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการปรับ (1) เพิ่ม loan growth เป็นเพิ่มขึ้น 60% จากงวดเดียวกันของปีก่อน (เดิมเพิ่มขึ้น 56% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากการขยายตัวสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สูงกว่าคาด,
(2) เพิ่มของอัตรากำไรขั้นต้น GPM เป็น 47% (เดิม 43%) จากยอดขายกลุ่มสินค้าทาเงินที่อยู่ระดับสูง และ (3) ปรับลด LLR/Loan ลงเป็น 2.4% (เดิม 2.8%) สอดคล้องกับที่เกิดขึ้นในปี 2564 ที่ 2.5% ทำให้ credit cost ลดลง 67% ขณะที่ยังคงประมาณการยอดขายสินค้าที่จะอยู่ในระดับสูงที่เพิ่มขึ้น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มจานวนสาขา และสินค้าที่จำหน่ายจากสินค้าแบรนด์ Xiaomi, Amazfit ผ่านความร่วมมือกับ Fanslink (บริษัทย่อย VGI)
ทั้งนี้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 60.00 บาท อิงปี 2565 ค่า PER ที่ 39 เท่า จากเดิม 58.00 บาท อิงปี 2565 ค่า PER ที่ 41 เท่า โดยเป็นผลของการปรับกาไรสุทธิขึ้น และ de-rate PER ลงเล็กน้อย ทางฝ่ายวิจัยจึงประเมินผลการดำเนินการของบริษัทฯ จะขยายตัวต่อเนื่อง หนุนโดยสินเชื่อที่จะขยายตัวสูงมากกว่าเพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในช่วง 3 ปีข้างหน้าตามฐานเงินทุนที่สูง, การขยายสาขา และเพิ่มช่องทางติดต่อลูกค้าให้ครอบคลุม, NPL จะปรับตัวลงอยูในระดับต่ำ และได้รับ Synergy กับกลุ่ม JMART และ BTS