พาราสาวะถี

บอกไว้แล้วว่าไม่ต้องตื่นเต้นตกใจกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งสูงต่อเนื่อง วานนี้ถ้ารวมตัวเลขของผู้ที่ตรวจ ATK ไปด้วยจะมียอดผู้ติดเชื้อกว่า 5 หมื่นราย


บอกไว้แล้วว่าไม่ต้องตื่นเต้นตกใจกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งสูงต่อเนื่อง วานนี้ถ้ารวมตัวเลขของผู้ที่ตรวจ ATK ไปด้วยจะมียอดผู้ติดเชื้อกว่า 5 หมื่นราย ในเมื่อทั้งหมอการเมืองและหมออาชีพมองสอดคล้องกัน สายพันธุ์โอมิครอนระบาดเร็ว ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอาการ จึงจะทำให้ยอดการติดเชื้อสูงขึ้นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งในฐานะประชาชนก็ได้แต่หวังว่าการคาดการณ์ของหมอเหล่านั้นจะเป็นจริงที่ว่า สถานการณ์จะดีขึ้นหลังกลางเดือนมีนาคมไปแล้ว

ขณะที่ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ยืนยันเพื่อลดความกังวลของประชาชน ตอนนี้ยุคโอมิครอน เรามีข้อมูลชัดเจนว่าผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวเป็นผู้ที่อาการน้อยถึงไม่มีอาการ มากถึงกว่า 90% โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวจะมีโอกาสเกิดปอดอักเสบอาการหนักน้อยมาก จนการแพทย์ไม่แนะนำให้ถ่ายภาพเอกซเรย์ เพื่อบริหารค่าใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด เท่าที่จำเป็นและเหมาะสม เรียกได้ว่าฝ่ายหมอการเมืองที่ต้องแนะนำนักการเมืองเขามองไปถึงจุดนั้นกันแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังออกตัวว่า ไม่ใช่เพียงเรื่องงบประมาณอย่างเดียวแต่เป็นเรื่องแนวคิดและทัศนคติให้เป็นโรคประจำถิ่นที่เมื่อมีอาการน้อยสามารถกินยาพักผ่อนได้ แต่หากมีอาการมากขึ้น ก็สามารถไปหาหมอรักษาได้ โดยที่ทางกระทรวงสาธารณสุขมีการประชุมกันในเรื่องการออกจากโรคระบาดหรือ pandemic เป็นโรคประจำถิ่นโคโรนาไวรัส 2019 หรือ Endemic ที่ได้วางแผนไว้ 4 เดือน ในสัปดาห์หน้าก็จะมีรายละเอียดออกมา

ความเชื่อมั่นของหมอการเมืองที่มีการประชุมกันจนมั่นใจว่าอีก 4 เดือนข้างหน้าจะสามารถประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นได้นั้น อ้างหลักสำคัญคือจะไม่มีการระบาดใหญ่แล้ว โดยที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ตนได้รับข้อมูลยืนยันจากแพทย์โรคติดเชื้อว่า โดยสภาพของการติดเชื้อ ความรุนแรงลดลง แต่การระบาดจะมากขึ้น เพราะเป็นโรคทั่วไปแต่ไม่อันตราย ซึ่งเป็นลักษณะของโรคติดต่อ ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นจริง และหวังว่าจะไม่มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นอีก

หากสถานการณ์โควิดสามารถทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเบาใจได้ คนส่วนใหญ่ก็จะหันกลับมาตั้งคำถามเรื่องทางการเมืองอันว่าด้วยเสถียรภาพของรัฐบาล รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่จะทำให้ประชาชนไม่เดือดร้อนจากภาวะหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามา โดยที่รัฐบาลเรือเหล็กไม่สามารถจะแก้ไขได้ เอาแต่อ้างเรื่องของโควิด-19 เอาแต่โทษสถานการณ์โลกและกลไกต่าง ๆ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงมันสมองในการแก้ไขปัญหาแม้แต่น้อย

นั่นคงเป็นเพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่บริหารประเทศ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถูกจูงจมูกโดยบรรดาเจ้าสัวทั้งหลายที่ยกหางตัวเองว่าเป็นคนดี สมควรแก่การเป็นผู้นำประเทศ รวมไปถึงบรรดาเทคโนแครตทั้งหลาย ที่ท้ายที่สุด บางพวกบางฝ่ายก็ถูกอัปเปหิให้พ้นไปจากขบวนการสืบทอดอำนาจ จนสุดท้ายก็ไปตั้งพรรคการเมืองเพื่อที่จะชิงชัยในสนามเลือกตั้ง และปฏิเสธที่จะชูผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วย

การฉายภาพของอดีตคนเคยร่วมงานในฐานะมือทำงานด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของรัฐบาลเผด็จการคสช.และช่วงแรกของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ย่อมเป็นการสะท้อนวิธีคิดและแนวทางการทำงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างดีว่า เข้าใจสภาพปัญหาและมีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาหรือไม่ เหมือนที่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ปัจจุบันเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวล่าสุด นำเสนอ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแบบน้ำพุ”

เริ่มต้นเจ้าตัวก็ชี้ให้เห็นภาพการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าทำตัวอยู่บนหอคอยงาช้าง เพราะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืนนั้น หัวใจสำคัญคือ องค์ความรู้และประสบการณ์ของชุมชน ชาวบ้าน ประกอบกับการส่งเสริมองค์ความรู้ให้พวกเขา และรัฐมีหน้าที่เพียงสนับสนุนงาน และนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาสร้างให้เกิดเป็นงาน เป็นนโยบายที่มาจากฐานรากขึ้นสู่ด้านบน มิใช่มาจากด้านบนลงสู่ด้านล่างเหมือนอย่างที่ผ่านมา

ประโยคหลังนี้เป็นภาพชัดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่พูดตลอดว่า รัฐบาลของตัวเองยึดแนวทางการสั่งการจากบนไปสู่ล่าง หรือพูดให้ชัดคือการรวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางแล้วสั่งการให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตาม เหมือนที่สนธิรัตน์บอกต่อว่า การไม่เข้าใจไม่รู้วิธีการแก้ปัญหา ในลักษณะของพื้นที่ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน นำมาสู่การออกแบบและสร้างนโยบายจากภาครัฐที่มีลักษณะแบบทฤษฎีน้ำตก Top-Down ที่สั่งการจากหน่วยงานภาครัฐลงมาสู่ท้องถิ่น

การรับฟังและรู้ปัญหาอย่างเดียวจึงขาดองค์ประกอบสำคัญนั่นคือ ท้องถิ่น ชุมชน นโยบายที่ไม่ตอบโจทย์นี้ทำให้การขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีปัญหามาโดยตลอด เปรียบเสมือนการแก้เงื่อนเชือกเพียงแค่ไม่กี่ปม แต่ไม่ได้แก้ไม่ได้รื้อโครงสร้างทั้งหมดว่าปมปัญหามาจากจุดไหน การจะแก้ปมเงื่อนและรื้อโครงสร้างจะอาศัยฐานคิดแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป จำเป็นต้องปรับฐานคิดและเปลี่ยนการสั่งการ จากการสั่งการที่มีลักษณะแบบน้ำตก ให้มาเป็นการสั่งการแบบน้ำพุ Bottom-up ที่เป็นการสั่งการมาจากประชาชนแทน

การตีประเด็นนี้เป็นการตบหน้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจฉาดใหญ่ เพราะไม่เคยฟังใครอยู่แล้ว มีแค่วาทกรรมสร้างภาพตามมาด้วยไอโอขยายผลแต่ในทางปฏิบัติไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ดังนั้นสิ่งที่สนธิรัตน์ตอกย้ำการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากนอกจากจะต้องรับฟังและผสานการมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่แล้ว ยังจำเป็นต้องได้คนทำงานด้านนี้โดยตรงเข้ามาช่วยในการวางทิศทางนโยบายที่ครอบคลุมทั้งมิติการพัฒนา การแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับท้องถิ่นจริง ๆ หากยังเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ไม่มีทางที่จะเกิดภาพเหล่านั้นได้ มีแต่จะเขี่ยคนที่กล้าเห็นแย้งมองต่างให้เป็นศัตรู เป็นพวกชั่วพวกเลวเท่านั้น

Back to top button