พาราสาวะถี

โควิด-19 ตัวเลขช่วงนี้ขาขึ้นอย่างเดียว หมอการเมืองยืนยันว่าสายพันธุ์โอมิครอนไม่รุนแรง ตั้งแต่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป จะมีการเริ่มระบบแบบผู้ป่วยนอก


โควิด-19 ตัวเลขช่วงนี้ขาขึ้นอย่างเดียว หมอการเมืองยืนยันแล้วว่าสายพันธุ์โอมิครอนไม่รุนแรง ดังนั้นตั้งแต่วันนี้ (1 มีนาคม) เป็นต้นไป จะมีการเริ่มระบบแบบผู้ป่วยนอก ตรวจผู้ที่สงสัยหรือมีความเสี่ยงว่าจะติดเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK หากผลเป็นบวกจะให้การรักษาด้วยยา 3 สูตร คือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจร และยารักษาตามอาการ เช่น วิตามินซี ยาลดไข้ ลดน้ำมูก แก้ไอ ตามอาการที่มี วิธีการนี้เรียกว่า “เจอแจกจบ” โดยการให้ยาขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์พิจารณาว่าจ่ายยาแบบใด สิ่งสำคัญต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับคนไข้

วิธีการแบบนี้ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันผู้ติดเชื้อไม่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่ได้รับการดูแลให้การรักษาที่บ้าน ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้คือ “อาจไม่ต้องกักตัวตลอดเวลาก็ได้” แต่จะต้องดูแลตนเอง สังเกตอาการ ไม่พบคนหมู่มาก พยายามอยู่ในห้อง อยู่บ้าน ลดการเดินทาง เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อ ต้องย้ำเพื่อความเข้าใจตรงกันด้วยว่าการจัดบริการแบบผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นมาเพื่อสะดวกต่อการมารับบริการ ส่วนใครไม่สะดวกระบบเดิมยังมีอยู่ ดูกันว่าเดินแบบนี้คนส่วนใหญ่จะพอใจหรือไม่

การเมืองในสภาแม้จะมีการปิดสมัยประชุมไปแล้ว พร้อมกับที่ประชุมรัฐสภามีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่เป็นการเสนอของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด ส่วนของฝ่ายค้านถูกตีตกตามคาด โดยมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณา ตรงนี้แหละที่เป็นจุดถูกจับตามองว่าจะเกิดการพลิกแพลงเล่นเกมทางกฎหมายหรือไม่

บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าการที่ยอมแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบซึ่งก็มีผลบังคับใช้ไปแล้ว หากเดินตามรูปแบบของการเลือกตั้งเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 รับประกันได้เลยว่า พรรคสืบทอดอำนาจและพวกพ้องพ่ายแพ้ย่อยยับแน่นอน คงไม่มีใครโง่ที่จะทำเช่นนั้น การแสดงพลังตีตกร่างของฝ่ายค้านก็ถือเป็นการสำแดงฤทธิ์เดชของฝ่ายสืบทอดอำนาจให้เห็นแล้วว่า ปลายทางของการแก้ไขนั้นต้องการให้ผลออกมาอย่างไร ลำพังพรรคการเมืองด้วยกันคงเชื่อว่าไม่มีทางที่พลิกแพลงกันขนาดนั้น

แต่อย่าลืมเป็นอันขาด ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมีเนติบริกรประเภททำทุกอย่างได้แบบไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องกลัวจะถูกตรวจสอบหรือใช้เสียงในสภามาคว่ำ เพราะสภาล่างก็คุมเกมได้ แจกกล้วยกันหนัก ๆ ทุกอย่างก็อยู่ในกำมือ ขณะที่สภาสูงก็คือทาสรับใช้ดี ๆ นี่เอง สั่งซ้ายหันขวาหันได้สบาย ไม่ต้องไปพูดถึงองค์กรที่จะเข้ามาตรวจสอบทั้งหลาย เมื่อสแกนไปยังบุคคลที่นั่งชูคอเป็นผู้บริหารหลัก ล้วนได้รับการแต่งตั้งมาจากอำนาจเผด็จการคสช.ทั้งสิ้น

ในแง่ของการใช้ความช่ำชองทางกฎหมาย เมื่อ วิษณุ เครืองาม รับลูกเป็น “พิเภก” หลังจากที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศตัวเองเป็นพระราม โดยยัดเยียดให้ฝ่ายค้านเป็นทศกัณฑ์ บทสัมภาษณ์ล่าสุดของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายขับไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) ต่อปมพิเภกจะเห็นภาพชัดเจนที่สุด โดยเสี่ยเต้นระบุว่า เมื่อพูดถึงพิเภกไม่ได้นึกถึงอะไรเลย นึกถึงคำว่าเนติบริกร คือหาช่องชี้ซ้ายชี้ขวาบิดไปบิดมา เอาเปรียบได้ตลอด แนะนำวิธีการเอาตัวรอดของฝ่ายพระรามได้ตลอด

ณัฐวุฒิยังชวนให้สังเกตด้วยว่า เนติบริกรมาจากไหน มันก็มาจากวงศ์ยักษ์ชนชั้นล่างนี่แหละ ไม่ได้เป็นเทพเทวดามา ก็เหมือนเป็นพิเภก เป็นลูกชาวบ้านเหมือน ๆ เรานี่แหละ แต่พอมียศมีศักดิ์ขึ้นมาก็เลือกที่จะไปรับใช้ฝ่ายอำนาจ แล้วก็เอาความรู้ความสามารถของตัวเองมาบิดเบือนทุกอย่าง มาสร้างความได้เปรียบทุกอย่าง ปากที่บอกว่าทุกอย่างต้องว่ากันตามกฎหมาย บ้านเมืองมีขื่อแปนั้น เกือบ 8 ปีที่ผ่านมาก็น่าจะเห็นกันแล้วว่าหลายเรื่องมีการตีความการใช้กฎหมายเหมือนบ้านเมืองไร้ขื่อแป

เอาเฉพาะประเด็นการยกร่างกฎหมายลูกสองฉบับเพื่อที่จะให้เข้ากับรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขให้การเลือกตั้งใช้บัตร 2 ใบ เริ่มมีคำถามว่าจากท่าทีของส.ว.ลากตั้ง และผลของมติที่ออกมา ปลายทางมีความเป็นไปได้ที่จะมีการคว่ำร่างกฎหมายลูกแล้วกลับไปตั้งต้นเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญกันใหม่อีกกระทอกหรือไม่ แน่นอนว่าใช้ความรู้สึกของคนธรรมดามันไม่น่าจะทำเช่นนั้นได้ เหมือนการเล่นขายของ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเรือเหล็กเป็นพวกตลบตะแลงเป็นที่สุด ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อนเพื่อไม่ให้เสียหน้าที่ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วนไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มุมของ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต. มองว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะกลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว มองจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หากจะกลับไปใช้บัตรใบเดียวได้ก็จะต้องมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่เข้ามาอีกรอบ ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ยาก ยกเว้นในขั้นของการพิจารณากฎหมายลูกจะหาทางออกไม่ได้ จนกระทั่งกฎหมายลูกไม่ผ่านการลงมติในวาระ 2-3 หรืออาจจะผ่านการลงมติในวาระ 3 ไปแล้ว แต่ส่งศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่ากฎหมายลูกขัดต่อรัฐธรรมนูญ

หากชี้เช่นนี้ หมายความว่าไม่สามารถที่จะเดินหน้าต่อได้ภายใต้รัฐธรรมนูญในรูปแบบแค่แก้ 3 มาตรา คือ มาตรา 83 มาตรา 86 และมาตรา 91 ได้โดยที่ไม่ได้แก้มาตรา 90 มาตรา 93 และมาตรา 94 ซึ่งเกี่ยวข้องกับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดย 3 มาตราดังกล่าวเขียนไว้ในกรณีที่เป็นบัตรใบเดียว หากไม่สามารถเขียนกฎหมายลูกให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่ยังไม่แก้ได้ ก็เท่ากับว่ากฎหมายลูกจะตกไป นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลว่าจะหาทางแก้ไขอย่างไร อาจจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาใหม่โดยเสนอแก้ให้ครบทุกมาตรา หรือเสนอแก้รัฐธรรมนูญเข้ามาใหม่โดยเป็นระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวตามเดิม

แต่ถ้ายึดตาม นิกร จำนง จากพรรคชาติไทยพัฒนาว่า ไม่น่าจะทำได้เป็นเรื่องที่สามารถคิดได้ที่สำคัญคือทางการเมืองทำไม่ได้ เพราะจะบอกกับประชาชนอย่างไรหากกลับไปกลับมา และถ้าเกิดไปแก้รัฐธรรมนูญ เวลาสภาที่เหลืออยู่ไม่พอแน่ หากจะมีการคว่ำจริงพรรคการเมืองจะให้คว่ำหรือ คำถามคือใครจะเป็นคนยกร่างเสนอแก้รัฐธรรมนูญ หากฝ่ายค้านยกร่างที่เสนอมาโดยประชาชนอาจจะยิ่งวุ่นวาย สรุปคือโดยกฎหมายทำได้แต่โดยการเมืองและเวลาที่เหลืออยู่นั้นทำไม่ได้ แต่อย่าประมาทเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอันขาด

Back to top button