โบรกชี้ SET ปีนี้เหนือ 1,600 จุด! แนะสะสม 6 หุ้นรับศก.ฟื้น-สงครามรัสเซีย-ยูเครนหนุน

โบรกฯมองดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เหนือระดับ 1,600 จุด ชี้จังหวะสะสมหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงในปีนี้ พร้อมคัด 6 หุ้นเด่นที่ประเมินว่าจะได้รับปัจจัยบวกในประเทศจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงอานิสงส์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน


นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้น” ออกอากาศทางช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2565 โดยประเมินแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยว่า ขณะนี้ตลาดฯถูกแรงขายจากความตระหนก (แพนิก) ไปหมดแล้ว ซึ่งต่อจากนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาในระยะสั้น โดยนักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างใกล้ชิดต่อไป ซึ่งคาดว่าไม่น่ามีความยืดเยื้อ

ขณะที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้างน้อย ซึ่งที่กระทบส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่ในส่วนของพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งหากสานการณ์ไม่ยืดเยื้อมากก็มองว่าตลาดหุ้นบ้านเราได้ตอบรับเชิงลบไปพอสมควรแล้ว

โดยขณะนี้มองว่าเป็นจุดที่ควรเริ่มหาโอกาสในการซื้อมากกว่าขายจากการแพนิก โดยเน้นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยในประเทศที่ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมา

ประกอบด้วย กลุ่มค้าปลีก ที่ปีนี้เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาจากปีก่อนที่ค่อนข้างย่ำแย่ โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของยอดขายจากสาขาเดิมในช่วง 2 เดือนแรกเติบโต ซึ่งมองไว้ 2 ตัว คือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO

สำหรับกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มธนาคาร ที่ได้รับผลดีจากดอกเบี้ยขาขึ้น และจากราคาที่ปรับตัวลดลงมาช่วงก่อนหน้านี้อาจจะทำให้เกิดแรงซื้อกลับบ้าง โดยมองไว้ 1 ตัว คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เนื่องจากมองว่าในส่วนของพอร์ตสินเชื่อมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งในส่วนของ SME และท่องเที่ยว พร้อมมองว่าราคาปัจจุบันไม่ถือว่าแพงเกินไปในการเริ่มเข้าทยอยสะสม

ส่วนกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มท่องเที่ยว ที่แม้ว่าในปีนี้ทิศทางกำไรอาจจะไม่ฟื้นตัวขึ้นมาเยอะ แต่เชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นแรงขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้กลับขึ้นมา โดยหุ้นที่มองว่ามีการกระจายความเสี่ยงได้ดีคือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT โดยผลประกอบการงวดไตรมาส 4/64 มีการฟื้นตัวดีในส่วนของธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อสะสม

ขณะที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลมองว่ามีทั้งปัจจัยบวกและลบ ซึ่งในส่วนของปัจจัยลบคือการเติบโตของโรงพยาบาลที่เติบโตจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเติบโตอาจจะลดลงจากปีก่อน แต่ราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลงมาเช่นกัน ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจคือ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ที่จะได้รับผลประโยชน์จากลูกค้าต่างชาติหลังจากเริ่มมีการเปิดประเทศ ซึ่ง BH มีรายได้ในส่วนของผู้ป่วยต่างชาติสูงถึง 70% ของรายได้รวม

ส่วนหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นมาตามราคาน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน ที่ปรับตัวขึ้นมา มองเป็นการเก็งกำไรในชั่วขณะหนึ่งไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดียังมีความเสี่ยง เพราะหากวันหนึ่งทางรัสเซียและยูเครนมีการเจรจาและยุติสงคราม มองว่าราคาน้ำมันจะปรับฐานลงมา และยังไม่ใช่จังหวะในการเข้าไปเสี่ยงเก็งกำไรในช่วงนี้

ทั้งนี้ หากอยากเก็งกำไรในหุ้นที่ล้อไปกับประเด็นสงครามรัสเซียและยูเครน แนะนำเป็นหุ้นเรืออย่าง บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL เนื่องจากมองว่าภาพรวมระยะกลางค่าระวางเรือหรือดัชนี BDI มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม มองภาพรวมดัชนีในปีนี้ว่ายังคงยืนเหนือระดับ 1,600 จุด จากการที่เริ่มเห็นแพนิกเซลล์ ทำให้เห็นโมเมตั้มในการฟื้นตัวกลับมา ด้านบนที่ระดับ 1,650 จุด หรือการปิดแก๊ปที่ระดับ 1,670 จุด

Back to top button