JWD วางงบ 1.8 พันลบ. ขยายคลัง-ลงทุนอุตสาหกรรม ดันรายได้ปี 65 โต 15%
JWD ตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต 15% รับขนส่งดีมานด์สูง พร้อมวางงบ 1.8 พันลบ. ต่อเติมคลังห้องเย็น - ลงทุนร่วมกับ ORI ขยายอุตสาหกรรมครบวงจร - ลุ้นปิดดีล M&A ในอนาคต
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก เห็นได้จากตัวเลขในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 65 ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการเช่าพื้นที่และการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอดูในเดือน มี.ค.ให้ชัดเจนก่อน แต่บริษัทก็มั่นใจว่าจะยังเติบโตกว่าปีก่อนในระดับสูง
โดยเป้าหมายทั้งปี 65 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% จากทุกกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจขนส่ง ตามความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่บริษัทสามารถปรับราคาขึ้นและลงได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาสำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในระยะยาว ส่วนลูกค้าแบบ Spot ก็ได้เร่งเจรจาขอปรับราคาแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยต้นทุนน้ำมันคิดเป็น 40% ของค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (Operating Expenses) ของกลุ่มขนส่ง ขณะที่กลุ่มขนส่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 17% ของรายได้รวมเท่านั้น
ด้านธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ปัจจุบันได้เริ่มเปิดให้บริการคลังสินค้าใหม่ “PACM Cold Storage” ที่ JWD ร่วมลงทุนกับลูกค้า ซึ่งมีความต้องการเข้ามาใช้อย่างมาก คาดว่าจะเต็ม Capacity ได้ภายใน 3 เดือนนี้ และน่าจะสร้างรายได้และกำไรเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขณที่บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ที่สระบุรี (Saraburi Cold Storage) ซึ่ง JWD ลงทุน 100% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนต.ค.นี้ แต่ปัจจุบันได้มีการ Pre-sell ให้กับลูกค้าบ้างแล้ว
นอกจากนี้การร่วมลงทุนกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ในการสร้างคลังสินค้าห้องเย็น “PACT Cold Storage” ทำให้บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้าสำคัญไว้ในระยะยาว คาดว่าเมื่อมีการก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 1/66 ก็จะมีสินค้าจากกลุ่ม TU ทยอยเข้ามาใช้บริการ
ขณะที่ธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) และบริการจัดเก็บงานศิลปะครบวงจร (Art Space) ก็มีการขยายสาขาเพิ่มเติมที่สาขาลาดพร้าว หรือ JWD Store it Ladprao คาดก่อสร้างเสร็จในเดือนเม.ย.นี้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีสาขาให้บริการทั้งสิ้น 7 สาขา ซึ่งถือว่ามีสาขาและพื้นที่โดยรวมมากที่สุดในประเทศไทย รวมถึงยังต่อยอดการให้บริการไปในส่วนอื่นๆ ด้วย และธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย และธุรกิจให้บริการอาหารที่เข้าลงทุนใน CSLF ประเทศไต้หวัน ก็มีการเติบโตดีขึ้น
ทั้งนี้บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นในบริษัท อีสเทิร์นซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด หรือ ESCO เพิ่มเติมอีก 5% จากเดิมถือหุ้นอยู่ที่ 15% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในครึ่งปีแรกของปีนี้ และจะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเข้ามาทันที ส่งผลให้กำไรปีนี้เติบโตมากขึ้น
ด้านนายชวนินท์ กล่าวว่า บริษัทยังวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท รองรับการขยายคลังสินค้าห้องเย็น 400-500 ล้านบาท, การซื้อหุ้นเพิ่มเติมใน ESCO จำนวน 165 ล้านบาท, การลงทุนที่ร่วมกับกลุ่มบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ในการขยาย Alpha Industrial Solutions ในปีนี้ คาดใช้เงินราว 500 ล้านบาท, การปรับปรุงราว 200-300 ล้านบาท และการซื้อกิจการ (M&A) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อรองรับการเติบโต